นายธีรชัย ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอื้อวิทยา (UWC) เปิดเผยว่า ในปี 63 ที่ผ่านมา บริษัทได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจากการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ โดยตัดขายธุรกิจที่ขาดทุนและหยุดกิจการที่ไม่สร้างผลกำไร ส่งผลให้บริษัทมียอดขาดทุนสุทธิทางบัญชีประมาณ 310 ล้านบาท ซึ่งกว่า 90% มาจากการด้อยค่าในบริษัทย่อยและการขาดทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้า แต่ปัจจุบันบริษัทได้หยุดธุรกิจในบริษัทย่อยเหล่านั้นแล้ว และได้ขายธุรกิจโรงไฟฟ้าแล้วตั้งแต่เดือน ส.ค.53
ขณะที่ในปี 63 บริษัทสามารถสร้างผลกำไรจากการดำเนินงาน (EBIT) ได้ 12.45 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 62 ที่มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานกว่า 303 ล้านบาท รวมทั้งได้ลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยประมาณ 10 ล้านบาท จากการชำระคืนหุ้นกู้ก่อนกำหนด
สำหรับแผนงานในปี 64 ยังคงมีงานโครงการระบบส่งไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นแผนงานระยะยาวที่กฟผ.ได้วางแผนไว้ ซึ่งจะมีการเปิดประมูลงานในปีนี้ จากแผนพัฒนาปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้า โดยมีมูลค่าเฉพาะงานโครงสร้างเหล็ก (Steel Structure) กว่า 6,000 ล้านบาท บริษัทคาดว่าจะได้รับงานจากการเปิดประมูลดังกล่าวไม่น้อยกว่า 900 ล้านบาท
นอกจากนั้น บริษัทจะใช้จุดแข็งที่มีทั้งความชำนาญและเครื่องจักรที่สามารถผลิตชิ้นงานโลหะที่ใช้กับงานก่อสร้าง โดยเฉพาะงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น การก่อสร้างตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งจะทำให้รายได้ของ UWC นับจากนี้ มีมากกว่างานโครงการระบบส่งไฟฟ้าของกฟผ.
UWC ยังได้เริ่มธุรกิจด้านเทเลคอมในต่างประเทศ โดยได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทที่ประเทศฟิลิปปินส์ ในนามบริษัท SkyTowers Infra Inc. ซึ่งดำเนินธุรกิจให้เช่าเสาโทรคมนาคม (Tower Co) กับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ (Mobile Network Operator) เพื่อติดตั้งอุปกรณ์ส่งสัญญาณสื่อสาร
นายธีรชัย กล่าวว่า บริษัทได้ตัดสินใจเข้าลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ ที่มีประชากรกว่า 109 ล้านคน เพราะมีการเติบโตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมอย่างมากในอีก 4-5 ปีจากนี้ และเป็นประเทศ 1 ใน 10 อันดับแรกของโลกที่มีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมสูงสุด
รูปแบบธุรกิจ Tower Co ในต่างประเทศนี้จะเปลี่ยนไปจากการผลิตและจำหน่ายเสาเทเลคอมในประเทศ ไปเป็นรูปแบบที่บริษัทเป็นเจ้าของทรัพย์สิน โดยสร้างสถานีสื่อสาร (Cell Site) และให้เช่าพื้นที่กับบริษัทผู้ให้บริการมือถือ ซึ่งเป็นโมเดลที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากทุกสถานีสื่อสารที่จะสร้างขึ้นจะมีการยืนยันการเช่าจากลูกค้าแล้ว และเป็นการทำสัญญาเช่าในระยาว 15 ปี (สามารถต่ออายุเพิ่มอีก 10 ปี) ทั้งนี้บริษัทสามารถให้เช่าพื้นที่กับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือได้มากกว่า 1 ราย
"ธุรกิจให้เช่าเสาเทเลคอมดังกล่าว จะเป็นอีกธุรกิจที่มีความสำคัญ และสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงและสม่ำเสมอ หรือ Recurring Income ได้ในระยะยาวให้กับ UWC โดยในปีนี้บริษัทจะสามารถรับรู้รายได้จากค่าเช่าในโครงการเทเลคอมในต่างประเทศนี้ร่วมกับรายได้จากการผลิตเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงในประเทศอีกด้วย"นายธีรชัย กล่าว