นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมกาผู้จัดการ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 64 ทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ต่อเนื่องจากปีก่อนมาที่ 1.1 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่สามารถทำยอดขายได้ 8.6 พันล้านบาท
บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้จำนวน 17 โครงการ มูลค่ารวม 1.57 หมื่นล้านบาทแบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม 11 โครงการ ได้แก่ คอนโดมิเนียมในย่าน Prime Area 3 โครงการ มูลค่า 7.1 พันล้านบาท คอนโดมิเนียมแบรนด์ เสนา คิทท์ 6 โครงการ มูลค่า 2.1 พันล้านบาท และคอนโดมิเนียมแบรนด์เสนา อีโค ทาวน์ มูลค่า 1.1 พันล้านบาท ส่วนโครงการแนวราบในปีนี้จะมีเปิดทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด6 โครงการ มูลค่า 5.4 พันล้านบาท ซึ่งจะเปิดในช่วงครึ่งปีแรกจะเปิดโครงการใหม่ 2-3 โครงการ และที่เหลือจะเปิดในช่วงครึ่งปีหลังทั้งหมด
สำหรับโครงการใหม่ในปีนี้ส่วนใหญ่ 13-14 โครงการเป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น คือ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ทั้งคอนโดมิเนียมในเมืองและคอนโดมิเนียมราคาต่ำล้าน ซึ่งทางพันธมิตรญี่ปุ่นมองเห็นถึงโอกาสในการลงทุนในคอนโดมิเนียมราคาต่ำล้านมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่มีรายได้ไม่สูงมากนัก และเป็นกลุ่มลูกค้าที่เช่าห้องพักอยู่สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้ และในตลาดคอนโดมิเนียมต่ำล้านมีการแข่งขันและซัพพลายที่น้อยเพียง 8,739 ยูนิต จากตลาดรวมทั้งหมดที่มีกว่า 90,000 ยูนิต ทำให้ยังเป็นโอกาสในการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆได้เพิ่ม โดยที่มีโครงการคอนโดม์เนียมต่ำล้านที่ร่วมทุนกับพันธม์ตรญี่ปุ่นไปแล้ว 1 โครงการ คือ เสนา คิทท์เทพารักษ์-บางบ่อ
นางสาวเกษรา กล่าวว่า ขณะนี้รายได้ของบริษัทในปี 64 ตั้งเป้าหมายทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ต่อเนื่องมาที่ 1 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนบริษัททำรายได้ได้สูงสุดที่ 7.6 พันล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน(Backlog) ในปีนี้ 6 พันล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดที่มีเกือบ 9 พันล้านบาท พร้อมกับการระบายสต็อกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทมีสต็อกเหลือขายที่มีอยู่ราว 7 พันล้านบาท โดยที่การขายสต็อกออกไปยังสามารถทำยอดขายและรายได้ให้กับบริษัทได้อย่างดี
อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าการแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ยังคงมีความรุนแรง โดยเฉพาะในตลาดแนวราบที่ผู้ประกอบการในตลาดต่างๆหันมารุกการพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น และกลับมาเปิดโครงการแนวราบกันมาก ทำให้บริษัทปรับกลยุทธ์กระจายการเปิดโครงการทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม และกระจายทำเลในการเปิด เพราะบริษัทมองว่าการแข่งขันในตลาดบางทำเลจะไม่มีการแข่งขันที่สูงในบางทำเล ทำให้บริษัทสามารถกระจายความเสี่ยงในการบริหารการขายได้ และยังสามารถสร้างยอดขายให้กับบริษัทได้
นางสาวเกษรา กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้แม้ว่าอาจจะยังไม่ฟื้นกลับมา แต่ที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสี่ที่มีความสำคัญ และคนยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอยู่ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยมือหนึ่ง หลังจากที่ผู้ประกอบการหันมาลดราคาลง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ทำให้ดึงดูดผู้ซื้อเข้ามาได้เป็นจำนวนมาก และทำให้ซัพพลายในตลาดเริ่มลดลงทำให้กลไกการตลาดเกิดความสมดุลมากขึ้น ส่งผลบวกต่อทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพยในระยะต่อไป
ด้านการลงทุนของบริษัทไนปี 64 นั้นวางงบซื้อที่ดินไว้ที่ 2 พันล้านบาท โดยที่บริษัทยังมองว่าราคาที่ดินไนปีนี้จะยังทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเฉพาะที่ดินที่สามารถนำไปพัฒนาโครงการแนวราบที่เป็นทาวน์เฮาส์ซึ่งราคาที่ดินมีทิศทางปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สวนทางกับที่ดินอื่นๆที่เหมาะสมกับการนำไปพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวที่ทรงตัวหรือปรับลดลงเล็กน้อย แต่สิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญค่อนข้างมาก คืองการควบคุมต้นทุนการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี และทำให้บริษัทสามารถสร้างกำไรเติบโตขึ้นต่อเนื่อง จะเห็นได้จากการทำกำไร New High ในปีก่อนที่ 1.11 พันล้านบาท และคาดว่าจะยังสามารถทำกำไร New High ต่อได้ในปีนี้ หากแผนงานที่วางไว้ทำได้ตามเป้าหมาย