บมจ.ลานนารีซอร์สเซส(LANNA)เตรียมทำสัญญาขายล่วงหน้าถ่านหินปี 51 ในช่วงไตรมาส 4/50 ซึ่งราคาถ่านหินที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงในขณะนี้น่าจะทำให้ราคาขายเฉลี่ยในปีหน้าสูงกว่า 40 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากปี 50 ที่มีราคาขายเฉลี่ยในระดับ 35-36 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่ปริมาณขายเพิ่มขึ้นจากราว 3 ล้านตันในปีนี้ เนื่องจากเหมืองใหม่ในอินโดนีเซียเริ่มเดินเครื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 51 ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลดีต่อรายได้และกำไรในปีหน้าให้เติบโตขึ้น
เจ้าหน้าที่ LANNA กล่าวว่า ราคาถ่านหินขณะนี้ปรับตัวขึ้นมาสูงกว่า 40 เหรียญสหรัฐ/ตัน เป็นราคาสูงสุดตั้งแต่บริษัทเริ่มทำเหมืองเมื่อ 5-6 ปีก่อน ซึ่งจะส่งผลต่อราคาขายเฉลี่ยในปีหน้าที่กำลังจะมีการทำสัญญาในช่วงไตรมาส 4/50 โดยคาดว่าราคาดังกล่าวจะทรงตัวไปจนถึงช่วงปลายปี
"คาดว่าปีหน้าจะขายถ่านหินได้ราคามากกว่า 40 เหรียญขึ้นไป ช่วงนี้ราคาขึ้นไปสูงสุดแล้วนับตั้งแต่ LANNA ทำเหมืองมา เรา เคยขายได้ต่ำที่สุด 18 เหรียญเท่านั้น เวลานี้ราคาขึ้น PEAK สุด ก็คิดว่าปีหน้าไม่น่าจะต่ำกว่า 40 เหรียญ" เจ้าหน้าที่ LANNA กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
สำหรับปี 50 บริษัททำสัญญาขายล่วงหน้าในสัดส่วน 80% และขายในราคาตลาด(spot) ราว 20% ซึ่งทำให้ราคาขายเฉลี่ยอยู่ในระดับ 35-36 เหรียญสหรัฐ/ตันและมีปริมาณขายราว 3 ล้านตัน สูงกว่าปีก่อนที่มีราคาขายเฉลี่ย 31-35 เหรียญสหรัฐ/ตันและมีปริมาณขาย 2.4 ล้านตัน ดังนั้น รายได้และกำไรในปีนี้ก็จะออกมาสูงกว่าปีก่อน
ทั้งนี้ ในปี 49 มีรายได้รวม 5.5 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 388 ล้านบาท
เจ้าหน้าที่ คาดว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้บริษัทจะมีปริมาณขายถ่านหินราว 1.3 ล้านตัน ลดลงจาก 1.7 ล้านตันในช่วงครึ่งปีแรก แต่จะมีสัดส่วนการขายถ่านหินในราคา spot เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีเล็กน้อย โดยราคาเฉลี่ยช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ที่ประมาณ 35-36 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ส่วนปีหน้าเหมืองถ่านหินแห่งที่ 4 ในอินโดนีเซียจะเริ่มผลิตได้ในช่วงปลายปี ซึ่งจะทำให้มีปริมาณถ่านหินเพิ่มขึ้นจากปีนี้ แม้ว่าจะยังไม่สามารถผลิตเต็มกำลังที่ 1.0-1.5 ล้านตัน/ปี
เจ้าหน้าที่ กล่าวถึงธุรกิจเอทานอลว่า ในปีนี้รายได้คงไม่ดีนัก เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยปรับลดลงเหลือ 17-18 บาท/ลิตร ลดลงมากจากไตรมาส 4/49 ที่ขายได้ในราคา 25 บาท/ลิตร ดังนั้นโรงงานผลิตเอทานอลจึงเดินเครื่องผลิตไม่เต็มที่ โดยผลิตเพียง 60-70% ของกำลังการผลิต 1.5 แสนลิตร/วันเท่านั้น
ขณะที่ บมจ.ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่(TAE) ซึ่ง LANNA ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 75.75% นั้น คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในไตรมาส 1/51 โดยเลื่อนไปจากปลายปีนี้ ซึ่งจะมีการระดมทุนเพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงงานเอทานอลแห่งที่ 2 ที่มีกำลังการผลิต 2 แสนลิตร/วัน คาดว่าจะแล้วเสร็จในครึ่งหลังปี 51
"เราคงไม่เร่งมาก สถานการณ์เอทานอลในประเทศเองไม่ชัดเจน เราจะเน้นส่งออก แต่ก็ต้องขออนุญาต" เจ้าหน้าที่ LANNA กล่าว
ในปี 50 LANNA จะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจเอทานอลเพียง 10%ของรายได้รวม ขณะที่รายได้จากธุรกิจถ่านหินมีสัดส่วน 90%
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--