ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 17.64 จุด แม้ยอดค้าปลีกสหรัฐอ่อน

          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนไม่ให้ความสนใจต่อข้อมูลยอดค้าปลีกที่อ่อนแอเกินคาดของสหรัฐ แต่ยังคงเกาะกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า
          สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ขยับขึ้น 17.64 จุด หรือ 0.13% ปิดที่ 13,442.52 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ดีดขึ้น 0.30 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 1,484.25 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 1.12 จุด หรือ 0.04% ปิดที่ 2,602.18 จุด
          ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 2.65 พันล้านหุ้น ลดลงจากวันพฤหัสบดีที่ 2.87 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 9 ต่อ 7 
          ในช่วงเช้านั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงอย่างรุนแรงหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกภายในประเทศเดือนส.ค.ขยับขึ้นเพียง 0.3% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะพุ่งขึ้น 0.6%  แต่ต่อมาตลาดเริ่มดีดตัวขึ้นสู่แดนบวกเนื่องจากนักลงทุนยังคงให้น้ำหนักกับการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นอย่างน้อย 0.25% ในการประชุมวันอังคารที่ 18 ก.ย.นี้
          นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กที่ร่วงลง 99 เซนต์ แตะที่ระดับ 79.10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากราคาพุ่งขึ้นเหนือระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
          "ก่อนหน้านี้นักลงทุนจับตาดูยอดค้าปลีกเดือนส.ค.ของสหรัฐมาโดยตลอด และเมื่อข้อมูลดังกล่าวออกมาอ่อนแอเกินคาด นักลงทุนก็ให้ความสนใจเพียงชั่วขณะหนึ่ง และหันไปให้ความสนใจกับกระแสคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ย ทั้งนี้ ผมมองว่าตลาดถูกขับเคลื่อนด้วย 'ความรู้สึก' มากกว่าที่เคลื่อนไหวโดยอาศัยข้อมูลใดๆเป็นตัวชี้นำ" นายโรเบิร์ต เชฟเฟอร์ นักวิเคราะห์จากเบ็คเคอร์ แคปิตอล เมเนจเมนท์กล่าว 
          "ในระหว่างวันนั้น ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กผันผวนอยู่ครู่หนึ่งเมื่อมีข่าวว่า ธนาคารกลางอังกฤษตัดสินใจอนุมัติเงินทุนเป็นกรณีฉุกเฉินให้กับธนาคารนอร์เธิร์นร็อคที่กำลังเผชิญวิกฤตการณ์ด้านสภาพคล่อง แต่ต่อมาไม่นานภาวะการซื้อขายก็เริ่มสงบลง" นายแชฟเฟอร์กล่าว