โบรกเกอร์ ต่างเชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มท่องเที่ยว เล็งเห็นผลงานเริ่มฟื้นขึ้นในไตรมาส 1/64 จากขาดทุนลดลงหล้งเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 และผลงาน MINT จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ในปี 65 จากธุรกิจโรงแรมคาดว่าจะฟื้นตัวได้ดีหลังวัคซีนกระจายได้เร็ว โดยเฉพาะยุโรปที่กระจายวัคซีนได้มาก ซึ่ง MINT มีสัดส่วนโรงแรมในยุโรปสูงถึง 60% มีโอกาสได้รับประโยชน์ทั้ง 2 ทาง จากนักท่องเที่ยวยุโรปมาไทย และการท่องเที่ยวภายในทวีปยุโรป
ส่วนธุรกิจอาหารในช่วงครึ่งปีหลังจะทำกำไรได้จากการบริโภคในประเทศที่กลับมาดีขึ้นหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 รอบใหม่คลี่คลายลง
ด้านราคาหุ้น MINT ยังมีอัพไซด์หากลดจำนวนวันกักตัวนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวกลุ่มที่ได้รับวัคซีนแล้วเข้ามาได้ ซึ่งต้องติดตามต่อไปว่ารัฐบาลจะมีความชัดเจนเมื่อใด
หุ้น MINT ปิดเทรดเช้าที่ 30.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท (+1.65%) ขณะที่ดัชนี SET ปิดเช้าพุ่ง 11.19 จุด
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อ 36.80 เคทีบีเอสที ซื้อ 36.00 ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทสไทย) ซื้อ 36.00 บัวหลวง ซื้อ 35.00 เอเชีย พลัส ซื้อ 34.00 กสิกรไทย ซื้อ 33.00
นายพชระ เลิศวิราม นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย คาดว่า MINT จะขาดทุนลดลง หรือมีผลขาดทุนสุทธิในปีนี้อยู่ที่ 7 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 2.1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากกิจการส่วนใหญ่ของบริษัทตั้งอยู่ในทวีปยุโรป ซึ่งเริ่มมีการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 แล้ว ทำให้การฟื้นตัวของ MINT น่าจะทำได้อย่างโดดเด่น โดยน่าจะเห็นการขาดทุนที่ลดลงนี้ตั้งแต่ไตรมาส 1/64 เป็นต้นไป
ขณะที่ราคาหุ้นถือว่ายังมีอัพไซด์จากปัจจัยบวกรออยู่ โดยเฉพาะในเรื่องของการลดจำนวนวันกักตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศที่ได้รับวัคซีนแล้วเข้ามาในประเทศได้ ซึ่งต้องตามดูรัฐบาลว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวเมื่อใด แต่เบื้องต้นคาดว่ารัฐบาลจะมีการอนุญาตให้นักท่องเที่ยวที่มีภูมิคุ้มกันเข้ามาในประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัวในไตรมาส 3/64 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าในปี 64 ไว้ที่ 4.3 ล้านคน ลดลงจากปีก่อนอยู่ที่ 6.7 ล้านคน ก่อนจะกลับมาเพิ่มขึ้นในปี 65 ที่ราว 23.6 ล้านคน และปี 66 จะกลับไปใกล้เคียงกับปี 62 ที่ระดับ 39.07 ล้านคน สะท้อนมุมมองที่รัดกุมจากสถานการณ์โควิด-19 ระลอกที่ 2 ส่งผลให้รัฐบาลเข้มงวดกับระบบคนเข้าเมืองมากขึ้น
ด้าน บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์มีมุมมองเป็นบวกจากที่ผู้บริหารคาดว่าธุรกิจโรงแรมที่ยุโรปจะกลับมามี EBITDA เป็นบวกได้ในช่วงเดือน พ.ค.64 ถือว่าฟื้นตัวได้เร็วหลังจากที่จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่า RevPar จะฟื้นตัวได้เร็ว (รอบก่อนที่ยุโรปมีการเปิดให้เที่ยวระหว่างประเทศภายในยุโรป โดยมี RevPar ฟื้นตัวได้เร็วจาก -99% ในเดือน เม.ย.63 เป็น -64% ในเดือน ส.ค.63 ซึ่งเชื่อว่ารอบใหม่นี้จะเห็นการฟื้นตัวได้เร็วเช่นกัน)
นอกจากนี้ยังมีความคืบหน้ามากขึ้นเรื่อง asset rotation ที่จะ sale & lease back ทั้งหมด 4-5 แห่ง ซึ่งเป็น NH Hotel ทั้งหมด มีมูลค่ารวม 1.0-1.5 หมื่นล้านบาท โดยในปีนี้จะขายได้ 2 แห่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา คาดว่าดีลแรกจะเสร็จในไตรมาส 3/64 และอีกดีลเสร็จในช่วงไตรมาส 4/64 โดยจะช่วยเพิ่ม Cash Flow ให้บริษัทได้
พร้อมกันนี้มองว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในยุโรปที่ลดลงอย่างมีนัยยะ จะส่งผลดีต่อ MINT โดยตรง และการเร่งฉีดวัคซีนที่เร็ว ซึ่งเป็นบวกต่อ MINT โดยตรงเพราะมีรายได้จากโรงแรมที่ยุโรปสูงถึง 60%
ทั้งนี้ คงประมาณการผลการดำเนินงานในปี 64-65 โดยคาดจะพลิกกลับมามีกำไรในปี 65 จากปีนี้คาดยังคงขาดทุนสุทธิที่ 1 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิถึง 2.1 หมื่นล้านบาท ขณะที่คาดว่าไตรมาส 1/64 มีโอกาสขาดทุนต่อ โดยจะทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากผลกระทบโควิด-19 รอบ 2
แต่อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานของ MINT จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ในปี 65 จากธุรกิจโรงแรมที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ดีหลังจากที่วัคซีนกระจายได้เร็ว โดยเฉพาะที่ยุโรปที่กระจายเยอะที่สุด โดย MINT มีสัดส่วนโรงแรมในยุโรปสูงถึง 60% ซึ่ง MINT จะได้รับประโยชน์ทั้ง 2 ทาง จากทั้งนักท่องเที่ยวยุโรปมาไทย และนักท่องเที่ยวยุโรปที่เที่ยวภายในประเทศกันเอง
ส่วนธุรกิจอาหารในช่วงครึ่งปีหลังจะทำกำไรได้ถึงฐานกำไรสุทธิได้เลย จากการบริโภคในประเทศที่กลับมาได้ดีหลังสถานการณ์โควิด-19 รอบใหม่คลี่คลายลง
สำหรับ บล.หยวนต้า ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เลือก MINT เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มท่องเที่ยว จากการปรับปรุงงบดุลอย่างต่อเนื่อง จากแผนการเพิ่มกระแสเงินสดที่ฉับไวและมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทมีความทนทานต่อผลกระทบของการระบาดโควิด-19 และ 2.คาดว่าการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะเกิดขึ้นในตลาด Domestic เป็นหลักก่อน โดยเฉพาะในประเทศที่ได้รับอนุมัติให้ฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมาก ขณะที่ MINT มีสัดส่วนโรงแรมในยุโรป ราว 70% ของโรงแรมทั้งหมด รวมถึงโรงแรมในยุโรปเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนและพึ่งพาการท่องเที่ยวใน Domestic ที่สูง