นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 64 เติบโต 5% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 4,405 ล้านบาท จากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายนำไปก่อสร้างบ้านได้ทั้งหลัง เช่น หลังคาไวนิล ,กระเบื้องคอนกรีต CT เวนิส, กระเบื้องคอนกรีต CT แกรนออนด้า, กระเบื้องจตุลอน และกระเบื้องลอนเล็ก, ไม้ฝาสีสำเร็จ คอฟฟี่ ซีรีย์, บอร์ดตกแต่งผนังพิมพ์ลายดิจิทัล เป็นต้น
อีกทั้งที่ผ่านมาบริษทมีการเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ของสายผลิต NT-11 เพิ่มความยืดหยุ่นด้านการผลิต และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดกลุ่มไม้สังเคราะห์ เช่น ไม้พื้น ไม้เชิงชาย ไม้พื้น และไม้ตกแต่งอเนกประสงค์ นำไปใช้ก่อสร้างและตกแต่งบ้าน
นายสาธิต กล่าวว่า DRT ได้บริหารจัดการด้าน Product Mix และรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรในการผลิตสินค้าในปีนี้อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยมากกว่า 80% เพื่อให้มีต้นทุนการผลิตสินค้าต่อหน่วยอยู่ในระดับต่ำ และเพิ่มอัตราการทำกำไรขั้นต้นเฉลี่ยให้อยู่ที่ระดับ 27-28% จากเดิมเฉลี่ย 26-27% พร้อมนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน เช่น ระบบยกสินค้าอัตโนมัติ 100,000 ตันต่อปี หรือ 90 ตันต่อวัน, ระบบตรวจสินค้าอัตโนมัติ และระบบโหลดสินค้าเข้าคลังสี 150,000 ต่อปี เป็นต้น
ขณะเดียวกันยังลงทุนติดตั้งโรบอตในไลน์การผลิตอย่างต่อเนื่อง ตามแผนการลงทุนระยะยาว 5 ปี ที่มีเป้าหมายยกระดับโรงงาน สู่ Smart Factory ขณะที่ปีนี้บริษัทฯ วางงบลงทุนปกติไว้ที่ 200-300 ล้านบาท รองรับการปรับปรุงเครื่องจักร โดยยังไม่มีความจำเป็นที่จะลงทุนขนาดใหญ่ หลังลงทุนในช่วง 1-3 ปีที่ผ่านมาไปแล้ว
นอกจากนี้ ยังคงเดินหน้าขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดตัว "Diamond Studio" บ้านน็อกดาวน์สำเร็จรูปต้นแบบ โชว์ความหลากหลายด้านผลิตภัณฑ์ คาดว่าจะช่วยขยายฐานลูกค้าสร้างบ้านสำเร็จรูป และปรับปรุงบ้าน ตอกย้ำกลยุทธ์ในปีนี้ที่จะมุ่งเน้นไปที่ตลาดบ้านน็อกดาวน์ บ้านสำเร็จรูป หรือร้านค้าสำเร็จรูป จากเดิมยังไม่เคยเข้าไปจับตลาดดังกล่าว จึงมองเป็นโอกาสในการผลักดันยอดขาย ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับผู้รับเหมาในการเข้าไปเสนองานรีสอร์ทขนาดเล็ก ที่มีความสนใจนำบ้านน็อกดาน์ไปทำเป็นที่พัก จำนวน 10 ยูนิต หากสามารถดำเนินการได้ก็จะทำให้บริษัทฯ เพิ่มช่องทางการจำหน่ายได้มากขึ้น
ส่วนตลาดส่งออกในปีนี้ บริษัทจะพยายามรักษาสัดส่วนรายได้ไว้ที่ระดับ 15% ใกล้เคียงเดิม โดยคาดว่าตลาดส่งออกจะกลับมาดีขึ้นได้ตั้งแต่ครึ่งปีหลังนี้เป็นต้นไป แต่อย่างไรก็ตามการส่งออกไปเมียนมายืนยันว่าไม่ได้มีผลกระทบต่อรายได้มากนัก เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้ไม่ถึง 5%
ขณะที่ตลาดวัสดุก่อสร้างในปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวที่ดีขึ้น หรือเติบโตได้ 5-10% จากสัญญาณความต้องการสินค้าในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ พบว่าดีขึ้นตามลำดับ โดยกลุ่มลูกค้าโครงการได้เริ่มกลับมาพัฒนาสินค้าที่อยู่อาศัยอีกครั้ง ขณะที่ช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ยังเดินหน้าการลงทุนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปัจจัยจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้การซื้อสินค้าผ่านร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายย่อยมีความคึกคักมากยิ่งขึ้น
นายสาธิต กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 1/64 คาดว่าจะเติบโตกว่าไตรมาสก่อนหน้า และดีกว่าช่วงไตรมาส 1/63 เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ และเห็นได้ว่ายอดขายในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาก็ปรับตัวดีขึ้น