บลจ.ทิสโก้ออกกองทุนเปิด ทิสโก้ New Energy เน้นลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับการพัฒนาพลังงานสะอาด ซึ่งได้รับประโยชน์จากความต้องการผู้บริโภค เช่น ผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ รถยนต์ไฟฟ้า สถานีชาร์จ และลิเธียม แบตเตอรี่ เป็นต้น เปิด IPO 8-16 มี.ค. 64
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ธุรกิจพลังงานสะอาด (New Energy) เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตอย่างโดดเด่นในระยะยาว ตามความต้องการใช้งานของผู้บริโภคทั้งจากภาคอุตสาหกรรม และภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น เพราะด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดลดลงอย่างมาก ขณะที่บริษัทผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดต่างเข่งขันกันพัฒนาประสิทธิภาพสินค้า เช่น การรุกทำตลาดเพื่อติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ตามบ้านและโรงงาน การพัฒนาแบตเตอรี่รถยนต์ให้สามารถกักเก็บพลังงานได้มากขึ้นจนใช้งานได้ 700-800 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง รวมถึงการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น
อีกทั้ง รัฐบาลทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯ จีน และยุโรปต่างสนับสนุนการลงทุนและพลังงานรูปแบบใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จากประเด็นดังกล่าวทำให้รายได้และกำไรของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานสะอาดมีโอกาสเติบโตอย่างมาก โดยธุรกิจที่จะได้รับอานิสงส์ในครั้งนี้ครอบคลุมตั้งแต่ 1. กลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด เช่น บริษัทที่ถือครองโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด ผู้ผลิตโซลาร์เซลล์ที่ใช้ในบ้านเรือน 2. กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 3. ผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด เช่น ผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงบริษัทที่ทำเหมืองลิเทียมที่ใช้ทำแบตเตอรี่ และบริษัทในกลุ่ม Semiconductor และนอกจากหุ้นกลุ่มพลังงานสะอาดจะเป็นกลุ่มหุ้นที่เติบโตได้ดีแล้ว นักลงทุนยังได้กระจายความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอการลงทุนอีกด้วย เพราะหุ้นกลุ่มนี้มีปัจจัยเฉพาะตัวที่แตกต่างกับหุ้นใน Mega trend อื่นๆ เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์
ดังนั้น เพื่อให้นักลงทุนไม่พลาดโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพสูง บลจ.ทิสโก้จึงเปิดเสนอขาย กองทุนเปิด ทิสโก้ New Energy (TNEWENGY) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) กองทุนรวมตราสารทุน เน้นลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาพลังงานสะอาด (Cleaner Energy) การอนุรักษ์พลังงาน และสิ่งแวดล้อม รวมถึงบริษัทที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านสังคมไปสู่พลังงานสะอาด และการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ผ่านกองทุน Invesco WilderHill Clean Energy ETF (กองทุนหลัก) ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE Arca, Inc.) ลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท เสนอขายครั้งแรก (IPO) 8 - 16 มีนาคม 2564
"ที่ผ่านมาเริ่มเห็นแนวโน้มผู้บริโภคปรับเปลี่ยนมาใช้สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดมากขึ้น เช่น ในสหรัฐฯ นิยมติดแผงโซลาร์เซลล์ที่บ้าน และโรงงานเพื่อช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า ขณะที่ทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพราะราคาถูกลงอย่างมากเมื่อเทียบกับในอดีต ส่วนหนึ่งมาจากราคาลิเธียมแบตเตอรี่ปรับตัวลดลงกว่า 87% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาและยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคารถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มปรับตัวลดลงตาม โดยข้อมูลจาก BloombergNEF คาดว่าในปี 2573 ราคาแบตเตอรี่จะคิดเป็นเพียง 20% ของราคารถยนต์ไฟฟ้า จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 30% ด้วยต้นทุนแบตเตอรี่และราคารถยนต์ไฟฟ้าที่ลดลงนี้ คาดว่าภายในปี 2573 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของยอดขายรถยนต์ทั้งโลก และภายในปี 2583 ยอดขายรถพลังงานไฟฟ้าจะสูงกว่ารถพลังงานเชื้อเพลิง "นายสาห์รัช กล่าว
สำหรับตัวอย่างบริษัทที่กองทุนเข้าไปลงทุน เช่น บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าจะรู้จักกันดีอย่าง Tesla รวมถึงบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่จากจีนอย่าง Nio และผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติน้องใหม่อย่าง XPeng ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่สามารถวิ่งได้ไกลถึง 706 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ขนส่งไฟฟ้าอย่าง Workhouse ซึ่งตั้งเป้าจะเข้ามาพลิกโฉมวงการรถยนต์ขนส่งประเภทรถตู้ให้มาใช้พลังงานสะอาด ในฝั่งของบริษัทสถานีชาร์จที่กองทุนเข้าไปลงทุน เช่น บริษัท Blink ที่เป็นผู้ให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยปัจจุบัน Blink เปิดให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแล้วทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ ในส่วนบริษัทที่เป็นผู้ผลิตพลังงาน และบริษัทผู้ให้บริการในการแปลงพลังงาน New Energy ในรูปแบบต่างๆ ที่กองทุนเข้าไปลงทุน เช่น Solar Edge บริษัทที่ให้บริการและติดตั้งอุปกรณ์ในการช่วยแปลงพลังงานแสงอาทิตย์มาเป็นพลังงานที่สามารถนำมาใช้ได้จริงทั้งในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน และบริษัท Canadian Solar ที่เป็นผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์โดยปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 150 ประเทศทั่วโลกและผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอกับการใช้งานได้มากถึง 13 ล้านครัวเรือน