นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) กล่าวว่า ภาพรวมรายได้ปี 64 น่าจะเติบโตขึ้นราว 10-12% แต่มีโอกาสจะปรับขึ้นได้อีกหากสามารถกระจายวัคซีนได้ดี ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเปิดประเทศ พร้อมผลักดัน สัดส่วนยอดขายจาก Omnichannel ในทั้ง 3 ประเทศที่มีสาขาอยู่ให้เติบโตต่อเนื่องเป็น 15% ของยอดขาย จากปี 63 อยู่ที่ 9.5% พร้อมตั้งงบลงทุน 1.6-1.8 หมื่นล้านบาท ขยายสาขากว่า 80 แห่งและปรับปรุงสาขาเดิมทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี
CRC มีแผนจะเพิ่มสาขาในส่วนของร้านไทวัสดุอีก 4-5 สาขาในปีนี้ โดยตั้งเป้ายอดขายเติบโต 19% จากในปี 63 ที่มี 54 สาขา ยอดขายเติบโต 1.3% มาที่ 28 ล้านบาท ขณะที่มีแผนดำเนินงานต่อเนื่องจากซื้อกิจการ COL ด้วยการผสมสานกับสาขาของ Power Buy และไทวัสดุ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าทั้งในรูปแบบ B2B (Business to Business) ที่มีบริษัทสมาชิกอยู่แล้ว 500,000 ราย และ B2C (Business to Customer)
นายณนน์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกและไทยน่าจะเติบโตราว 3-4% ขณะที่เวียดนามจะเติบโตได้ถึง 6-7% และอิตาลี เติบโต 1-2% โดยมีปัจจัยสำคัญ 3 ปัจจัย คือ การฉีดวัคซีน, การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และ สถานการณ์ทางการเมือง โดยในปี 64 คาดว่ายอดขายในไทยน่าจะเพิ่มขึ้น 8-12% เวียดนาม 10-12% และอิตาลี 20-25%
หากแบ่งตามประเภทสินค้าคาดว่าแฟชั่นจะเติบโตประมาณ 8-12% ฮาร์ดไลน์เติบโตประมาณ 20% เนื่องจากมีการควบกิจการ COL เข้าไป และด้านอาหารเติบโตประมาณ 6-8%
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) น่าจะดีขึ้นมาที่ 24.2-24.7%
ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุน 1.6-1.8 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนเป็นการลงทุนในไทย 70% เวียดนาม 25-29% และอิตาลี 3-5% ขณะที่แบ่งลักษณะการลงทุนเป็นการขยายสาขา 60% ซึ่งจะลงทุนต่อเนื่องในไทยด้วยการเปิด Robinson Lifestyle Center 2 สาขา, ห้าง Robinson Department Store 3 สาขา, ไทวัสดุ 4 สาขา และ Specialty Store ด้านแฟชั่นและอิเล็กทรอนิกส์ในไทยมีการขยายอีกประมาณ 50-60 สาขา รวมถึงเวียดนามจะขยายสาขา Go! Mall 4 สาขา, GO! Hypermarket 4 สาขา และซูเปอร์มาร์เก็ตรูปแบบใหม่ 10 สาขา
และอีก 30% จะใช้ปรับปรุงสาขาในอิตาลีที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในการอัพเกรดร้านค้า Rinascente Milan ซึ่งเป็นแฟล็กชิพสโตร์ที่มิลาน และสาขา Rinascente Florence สาขาเล็กที่จะพัฒนาให้เป็นแฟล็กชิพสโตร์ และส่วนการลงทุนด้านดิจิทัลจะใช้งบลงทุนอีก 10%ที่เหลือ
นายณนน์ กล่าวว่า กลยุทธ์ OMNI (Omnichannel) ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน CRC ในปี 63 มีการเติบโตถึง 177% สัดส่วนยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 9.5% จาก 3% ในปี 62 จากการเพิ่มช่องทางการช้อปปิ้งออนไลน์ พัฒนาเว็บไซต์ใหม่ แอปพลิเคชั่นในมือถือ และล่าสุดในเดือน ม.ค.64 ยอดดาวน์โหลดแอป CENTRAL Online ทะลุ 1 ล้านครั้ง และมีแผนเพิ่ม SKU (Stock keeping unit) เนื่องจากประสบผลสำเร็จได้ดี จึงส่งผลให้ในปี 64 บริษัทจะยังเดินหน้าผลักดัน OMNI ต่อไป
ด้านยุทธศาสตร์ CRC ต้องการเป็นบริษัทที่มีแพลตฟอร์มที่ยั่งยืน และเติบโตในทั้ง 3 ประเทศ คือ ไทย เวียดนาม และ อิตาลี โดยมีจุดแข็ง คือ การมีพอร์ตสินค้าถึง 60 หมวดหมู่ และมีแบรนด์ระดับประเทศกว่า 100 แบรนด์ มีสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกด้านทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ โดยรวมทั้งสองช่องทางเข้าด้วยกัน เช่น Chat&Shop, Call&Shop, Click&Collect ทำให้มีข้อมูลที่แข็งแรง ซึ่งในไทยครอบคลุมเกือบ 60 จังหวัดคิดเป็น 90% ของ GDP ทั้งหมด เวียดนามครอบคลุมเกือบ 40 จังหวัดคิดเป็น 85% ของ GDP ทั้งหมด และอิตาลีครอบคลุม 8 จังหวัด รวมถึง CRC เองมีฐานข้อมูลลูกค้าที่ดีด้วย
ทางเลือกเชิงกลยุทธ์ของ CRC ในปีนี้ คือ 1.เร่งทำแพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์และอาหาร 2.สร้างการเติบโตของตลาดในอนาคตและพอร์ตสินค้าอย่างแข็งแกร่ง 3.ปลดล็อกศักยภาพเต็มรูปแบบทั้งด้านเศรษฐกิจและขนาด และ 4.เสริมสร้างองค์กรแห่งอนาคต และวัฒนธรรมการเติบโต
นายไท จิราธิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน CRC กล่าวว่า ภาพรวมผลประกอบการปี 63 ในไตรมาส 2-3/63 บริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดค่อนข้างมาก ก่อนจะกลับมาดีขึ้นในไตรมาส 4/63 โดยทั้งปี 63 มีรายได้ 194,311 ล้านบาท ลดลง 11% EBITDA 10,675 ล้านบาท ลดลง 52% กำไร 684 ล้านบาท ลดลง 92% ทาง CRC ออกมาตราการต่าง ๆ เพิ่มประสิทธิภาพด้านออนไลน์ ผลักดันธุรกิจเดิม เพิ่มประสิทธิภาพด้านออนไลน์ เปิดแบรนด์ใหม่ ควบกิจการกับแฟมิลี่มาร์ท
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากการขายสินค้า 90% รายได้จากเช่าพื้นที่ 14% รายได้อื่น ๆ 7% โดยยอดขายสินค้าทั้งปี 63 อยู่ที่ 173,138 ล้านบาท