นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้เป็น 2 เท่า แตะ 2,000 ล้านบาทภายในปี 66 โดยจะเป็นการเติบโตจากการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการด้านธุรกิจ E-Commerce ในประเทศจีน 1 ราย เพื่อที่จะให้บริการขนส่งสินค้าไปทั่วโลกที่จะเข้ามาช่วยให้ผลประกอบการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 2/64 นี้ และจะมีระยะสัญญา 3 ปี
พร้อมกันนั้น บริษัทยังคงเดินหน้าเจรจาเข้าซื้อกิจการ (M&A) อย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ระหว่างเจรจากับบริษัท 2-3 บริษัททั้งในประเทศไทย จีน เวียดนาม และในกลุ่มประเทศอาเซียน ที่มีโอกาสในการเติบโตสูง ซึ่งผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมลงทุนจะเป็นบริษัทที่มีรายได้ประมาณ 100-200 ล้านบาทต่อปี และมีความสามารถทำกำไรสม่ำเสมอ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้อย่างน้อย 1 บริษัทในช่วงปลายปี
ในปีนี้บริษัทวางงบลงทุนไว้ราว 300 ล้านบาท เพื่อใช้ในการทำ M&A รวมถึงขยายธุรกิจ LEO Self Storage (LSS) มูลค่า 80-100 ล้านบาท เพิ่มพื้นที่ประมาณ 2,000-3,000 ตารางเมตร และสร้างลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ (Container Depot) แห่งที่ 2 มูลค่าราว 50 ล้านบาท คาดว่าทั้ง 2 โครงการจะสามารถรับรู้รายได้ในช่วงปลายไตรมาส 3 หรือต้นไตรมาส 4 ของปีนี้
ขณะที่ล่าสุด บริษัทได้เข้าร่วมทุนกับ Cardinal UK จัดตั้งบริษัท คาร์ดินัล มาริไทม์ (ประเทศไทย) เพื่อให้บริการโลจิสติกส์ และการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเน้นการพัฒนาตลาดในประเทศอังกฤษและยุโรปเหนือ โดยบริษัท ถือหุ้นสัดส่วน 51% ที่เหลือ 49% เป็นของ Cardinal UK ถือหุ้น เพื่อเป็นการต่อยอดขยายธุรกิจในตลาดอังกฤษ และยุโรปเหนือ เพราะ Cardinal มีฐานลูกค้าที่มีการนำเข้าสินค้าจากไทยจำนวนมาก และยังมีความเชี่ยวชาญและเครือข่ายที่กว้างขวาง ซึ่งจะเพิ่มปริมาณธุรกิจและลูกค้าให้กับบริษัทมากกว่า 1 เท่าตัว
"เราคาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งผีแรกจะทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง หลังจากภาพรวมของการขนส่งสินค้า ยังมีแนวโน้มที่ดี เพราะธุรกิจ E-Commerce ในยุค New Normal เติบโตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการนำเข้า ส่งออก และราคาค่าขนส่งทางเรือและทางอากาศ ยังอยู่ในระดับสูง"นายเกตติวิทย์ กล่าว
สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 64 ยังคงเป็นปีที่ดีต่อเนื่อง โดยบริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตเพิ่มขึ้นระดับ 25% จากปีก่อน เนื่องจากธุรกิจการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ทั้งการนำเข้าและส่งออกเริ่มกลับเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าประเภท Electronics และ Foods มีปริมาณขนส่งสินค้าเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนจากธุรกิจ E-Commerce ที่เติบโตมากขึ้นในยุคการใช้ชีวิตแบบ New Normal ทำให้ Demand ของลูกค้าต่างประเทศในการขนส่งสินค้ายังคงเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ปริมาณขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
"ภาพรวมของการขนส่งสินค้า ยังมีแนวโน้มที่ดี เพราะธุรกิจ E-Commerce ในยุค New Normal เติบโตเพิ่มขึ้น ขณะที่ในส่วนของปริมาณการนำเข้า ส่งออก และราคาค่าขนส่งทางเรือและทางอากาศ ยังอยู่ในระดับสูงช่วงไตรมาส 1 -2 ของปีนี้ ก็น่าจะสนับสนุนผลงานได้เป็นอย่างดี และคาดว่าช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ทางบริษัทฯ จะมีผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 3 และไตรมาส 4 และคาดว่าจะเป็นผลประกอบการที่เป็น new high อย่างต่อเนื่อง"นายเกตติวิทย์ กล่าว