นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายในปี 64 ทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ที่ 2.9 หมื่นล้านบาท พร้อมวางเป้ารายได้ปีในปี 64 ไว้ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทได้วางแผนก้าวไปข้างหน้าแบบ Next Level จะสร้างรากฐานการเติบโตที่แข็งแกร่ง และมั่นคงให้แก่บริษัทในระยะยาว โดยการขยายการเติบโตของบริษัทให้เป็นมากกว่าผู้พัฒนาที่อยู่อาศัย แต่จะเป็นธุรกิจที่สร้างสินค้าและบริการตอบโจทย์ผู้คนในทุกช่วงวัย
"วันนี้เราไม่ได้มองตัวเองเป็นแค่ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัย เรามองตัวเองสู่การเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีสินค้าและบริการต่อยอดไปได้อย่างต่อเนื่อง หรือ Beyond Property เพื่อตอบโจทย์คนทุกเจเนอเรชั่นตลอดช่วงชีวิตของเขา" นายพีระพงศ์ กล่าว
สำหรับธุรกิจหลังของบริษัทในการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขายในปี 64 วางแผนเปิดโครงกาวใหม่ทั้งหมด 20 โครงการ มูลค่ารวม 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 1.04 หมื่นล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 9 โครงการ มูลค่า 9.6 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ในปี 64 เข้ามาเสริมการต่อยอดให้กับธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจโลจิสติกส์ ที่ได้ร่วมมือกับ บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) พื้นที่ 62,000 ตารางเมตร ซึ่งจะเปิดเผยแผนธุรกิจร่วมกันอีกครั้งภายในเดือนเม.ย.นี้
และบริษัทยังวางแผนต่อยอดธุรกิจจากการเข้าลงทุนในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) โดยนำความเชี่ยวชาญของบริษัทมาต่อยอดสู่การดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์อย่างเข้มแข็งและครบวงจร โดยร่วมกับพันธมิตรที่เชี่ยวชาญในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ เพื่อคัดกรองทรัพย์การพัฒนาโครงการ การรีโนเวท การขาย และการตลาด เพื่อคว้าโอกาสใหม่เข้ามาในธุรกิจต่อยอดการเติบโต รวมถึงบริษัทยังศึกษาการลงทุนในธุรกิจสุขภาพ ที่สามารถต่อยอดและสร้างบริการมอบให้กับลูกค้าของบริษัทได้
ขณะเดียวกันบริษัทยังคงเดินหน้าในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ โดยในปีนี้จะพัฒนาโครงการ วัน ออริจิ้น สนามเป้า (One Origin Sanampao) ซึ่งเป็นโครงการอาคารสำนักงาน ขนาดพื้นที่กว่า 56,100 ตารางเมตรติด BTS สนามเป้า ตอบโจทย์ความต้องการอาคารสำนักงานในฝั่งกรุงเทพฯตอนเหนือที่ยังคงขยายตัวได้ดี และเชื่อมั่นว่าสินค้าและบริการของเครือจะตอบโจทย์คนทุกเจเนอเรชั่นในทุกช่วงเวลาของการใช้ชีวิต
นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ 64 ราว 1 หมื่นล้านบาท โดยส่วนหนึ่งจะลงทุนในธุรกิจใหม่ทั้ง 3 ธุรกิจที่ 2 พันล้านบาท ได้แก่ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจโลจิสติกส์ และธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC)
สำหรับธุรกิจเฮลท์แคร์ ได้ตั้งบริษัทร่วมทุน คือ บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด ร่วมกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่จะเข้ามาร่วมดำเนินธุรกิจทั้งศูนย์ความงามและศูนย์สุขภาพ โดยจะเปิดตัวศูนย์ความงามภายในปีนี้ คือ Cheva+ สาขาเมอคิวรี่ พื้นที่ 200 ตารางเมตร และวางแผนจะเปิดให้ครบ 10 สาขาภายในปี 66 ส่วนศูนย์สุขภาพ 2 แห่งจะเปิดที่แบริ่งในปี 65 และรามอินทราในปี 66
ด้านความคืบหน้าธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ (AMC) บริษัทได้จัดตั้งบริษัท บริหารสินทรัพย์ พรอมมิเนนท์จำกัด ยื่นขออนุญาตประกอบธุรกิจดังกล่าวกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้ว คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 3/64 โดยที่บริษัทจะเข้าประมูลหนี้ที่มีหลักประกัน (Secure loan) จากสถาบันการเงินต่างๆ รูปแบบการดำเนินธุรกิจ AMC จะเน้นปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ และหาช่องทางในการช่วยหารายได้ให้กับลูกหนี้ที่เป็นหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อนำเงินมาชำระคืนหนี้ได้ เช่น การหาผู้เช่าหรือการหาคนมาซื้อต่อ เป็นต้น
ทั้งนี้ ระหว่างที่รอใบอนุญาต บริษัทได้มีความร่วมมือกับพันธมิตรที่ทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับ AMC และสถาบันการเงินในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ของลูกหนี้และการรีโนเวททรัพย์ของพันธมิตร โดยที่บริษัทเตรียมเปิดตัวทีมผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจดังกล่าว และประมูลหนี้เข้ามาบริหารในพอร์ตมูลค่า 800-1,000 ล้านบาท โดยใช้เงินลงทุน 400-500 ล้านบาท
ขณะที่ธุรกิจโรงแรมแม้ว่าจะเผชิญกับผลกระทบของโควิด-19 แต่บริษัทยังเชื่อว่าจะค่อยๆกลับมาฟื้นตัวขึ้นหลังจากโควิด-19 คลี่คลาย ซึ่งหลังจากที่บริษัทเปิดโรงแรมใหม่ไปเมื่อปีก่อนที่ทองหล่อและศรีราชา อัตราการเข้าพักอยู่ในระดับที่ดีราว 50% และยังมีโรงแรมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในทำเลที่ดีอีก 3 โรงแรม จำนวน 1,000 ห้อง ได้แก่ ทองหล่อ สุขุมวิท 24 และพญาไท หากพัฒนาโรงแรมครบถ้วนแล้วบริษัทจะขึ้นเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมารัพย์ที่มีจำนวนห้องโรงแรมสูงถึง 3,000 ห้อง และติด Top5 ของผู้ประกอบที่มีโรงแรมในประเทศที่มีจำนวนห้องมากที่สุด
ด้านภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้บริษัทมองว่ายังมีความกังวลเกี่ยวกับหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงซึ่งเป็นความท้าทายของบริษัทในเรื่องของการบริหารจัดการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาในการยื่นขอสินเชื่อให้ผ่านทำให้ลูกค้าสามารถโอนโครงการได้ โดยในปีนี้บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ราว1.28 หมื่นล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดที่มี 3.58 หมื่นล้านบาท