นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทีวี ไดเร็ค (TVD) เปิดเผยว่า บริษัทมองแนวโน้มกำไรสุทธิในปี 64 จะเติบโตได้ถึง 112% หลังจากบริษัทปรับโครงสร้างธุรกิจในส่วนที่เป็นธุรกิจ B2B และ B2C เสร็จสิ้นไปแล้วในปีที่ผ่านมา ทำให้ต้นทุนของบริษัทลดลง และจะไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากบริษัทลูกในบางธุรกิจเข้ามาแล้ว หนุนทิศทางของกำไรในปีนี้ปรับตัวดีขึ้นมาก
ขณะที่ปัจจัยจากการดำเนินงานที่จะเข้ามาสนับสนุนกำไรของบริษัทในปีนี้ ยังคงมาจากธุรกิจทีวีช้อปปิ้งที่สามารถทำยอดขายเข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง และธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ที่ยังคงทำการตลาดและการขยายกลุ่มลูกค้าได้ต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ส่วนธุรกิจอีคอมเมิร์ชที่จะเข้ามาเสริมในปีนี้บริษัทยังไม่มองถึงตัวเลขกำไรมาก แต่จะเน้นการสร้างยอดขายเป็นหลัก เพราะเป็นธุรกิจใหม่ที่บริษัทเพิ่งรุกเข้าไป ทำให้ต้องลงทุนมากเพื่อทำการตลาดและสร้างฐานลูกค้าใหม่
ปัจจุบัน TVD ยังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านธุรกิจไปสู่ธุรกิจออนไลน์ช้อปปิ้ง โดยการรุกเข้าสู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ช แม้ว่าจะเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง และมีผู้เล่นจำนวนมาก แต่บริษัทยังมองเห็นโอกาสทางการตลาด เนื่องจากพฤติกรรมการซื้อสินค้าของคนเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเริ่มเข้าใจและเชื่อมั่นการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น อีกทั้งเป็นช่องทางที่บริษัทจะสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มอายูต่ำกว่า 37 ปี และขยายสินค้าใหม่ที่มียอดขายต่อชิ้นต่ำกว่า 3,000 บาท หรือหลักพันต้นๆ เข้ามาเสริมกับธุรกิจทีวีช้อปปิ้งที่มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า 37 ปีขึ้นไป และเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อมาก โดยมียอดการซื้อสินค้าเฉลี่ยมากกว่า 3,000 บาท/ชิ้น
บริษัทยังต้องทยอยลงทุนในธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่อง ทั้งการร่วมมือกับพันธมิตรแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ในการทำการตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้า การทำไดเร็คมาร์เก็ตติ้ง และการเพิ่มจำนวนสินค้าให้ได้มากกว่า 40,000 SKUs จากปัจจุบันที่ที่เสนอขายเพียง 1,000 SKUs เพื่อทำให้สินค้ามีความหลากหลาย ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก บริษัทจึงวางงบลงทุนในปี 64 รองรับการพัฒนาธุรกิจอีคอมเมิร์ชไว้ที่ 300-400 ล้านบาท มาจากกระแสเงินสดของบริษัท การแปลงสภาพวอร์แรนท์ และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
สำหรับเป้าหมายยอดขายในปี 64 บริษัทตั้งไว้ที่ 4 พันล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยในปีนี้จะมีธุรกิจอีคอมเมิร์ชที่เข้ามาสนับสนุนยอดขายสินค้าที่มียอดซื้อต่อหน่วยไม่สูงมาก แต่สามารถขายในจำนวนมากกว่าธุรกิจทีวีช้อปปิ้ง แต่ยังมีความท้าทายจากกำลังซื้อในปีนี้ที่มองว่าจะทรงตัวหรือชะลอตัวลงจากปีก่อน เพราะปัจจุบันเริ่มเห็นว่าคนเริ่มชะลอการจับจ่ายใช้สอย แม้จะยังมีการซื้อสินค้าต่างๆ แต่ยอดซื้อต่อชิ้นลดลงจากปีก่อน เป็นสัญญาณว่าคนเริ่มระวังการใช้เงินมากขึ้น แม้ว่าจะมีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศแล้วก็ตาม
"ปีก่อนที่มีล็อกดาวน์แต่คนยังมีเงิน อยู่บ้านก็ใช้จ่ายซื้อของได้อย่างสนุก จะเห็นว่าบริการเดลิเวอรี่หลายเจ้าก็คึกคักมาก แต่พอมาปีนี้แม้ว่าจะมีวัคซีน แต่คนก็เริ่มระวังการใช้จ่ายแล้ว จากที่ผมคุยกับผู้ค้าปลีกหลายราย เขาก็บอกมาเหมือกันว่าคนยังซื้อ แต่ยอดซื้อเริ่มเล็กลง ซึ่งเป็นสัญญาณที่บอกว่าการใช้จ่ายเริ่มชะลอลง ซึ่งมองว่ายังคงต้องรอจนกว่าเปิดประเทศได้ ความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยของคนถึงจะเริ่มกลับมาฟื้นขึ้น"นายทรงพล กล่าว