นายฐากร ปิยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เครือไทย โฮลดิ้งส์ (TGH) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าผลักดันรายได้แตะ 3 หมื่นล้านบาท ภายใน 3 ปี หรือในปี 66 จากการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทในส่วนของธุรกิจประกันชีวิต ประกันภัย และธุรกิจให้บริการสินเชื่อ ซึ่งจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การบริการ และขยายกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น ผ่านการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ พร้อมเตรียมรีแบรนด์ธุรกิจในเครือของบริษัทให้มีรความทันสมัยมากขึ้น
โดยธุรกิจประกันภายใต้แบรนด์ "อาคเนย์ประกันชีวิต" และ "อาคเนย์ประกันภัย" จะเน้นการหาโอกาสในการเพิ่มช่องทางการขายใหม่เข้ามาเสริม โดยเฉพาะการขายประกันผ่านธนาคาร ซึ่งปัจจุบันมี 2 ธนาคารหลัก คือ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ซึ่งบริษัทจะเพิ่มช่องทางขายผ่านธนาคารอื่นๆเพิ่มเติม ปัจจุบันมีสัดส่วนการขายผ่านช่องทางธนาคาร 70%
ขณะเดียวกันในส่วนของการขายผ่านตัวแทนยังอยู่ในสัดส่วนที่มีความเหมาะสมที่ 30% แต่บริษัทจะหันมาเน้นการขยายการขายผ่านช่องทาง Telesale มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีพนักงานขาย Telesale ราว 150 คน เพราะมองว่าการขายผ่าน Telesale จะช่วยเพิ่มโอกาสการขายมากขึ้น พร้อมกับเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันใหม่ๆ ให้ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้น เช่น ยูนิตลิงค์ เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทจะรุกการขายผ่านช่องทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง โดยใช้ผลิตภัณฑ์ประกันภายใต้แบรนด์ "ไทยประกันภัย" เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีอายุไม่มาก และซื้อประกันที่ราคาไม่สูงมาก แต่สามารถขายได้ในปริมาณมากๆ บริษัทจะนำเทคโนโลยีมาใช้ในการยกระดับการบริการ โดยเฉพาะการบริการด้านการเคลม และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันผ่าน LINE ซึ่งทำให้ลูกค้าได้รับการบริการอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้ายังคงใช้บริการต่างๆในเครือของบริษัทอย่างต่อเนื่อง
"เพื่อสร้างความเติบโตและมั่นคงทางธุรกิจแบบรอบด้าน บริษัทยังตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะช่วยให้คนไทยและครอบครัวของพวกเขาใช้ชีวิตหรือดำเนินธุรกิจอย่างมีความสุข ปราศจากความกังวลใจ ผ่านนวัตกรรมทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ เพื่อมุ่งสู่การเป็น "Financial as A Service" ของคนไทย ในขณะที่ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนธุรกิจอย่างต่อเนื่องไปตามพฤติกรรมของลูกค้า ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และขั้นตอนต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้บริการที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า เราจึงมุ่งเน้นในเรื่องเทคโนโลยีและข้อมูลมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ ตรงใจ เข้าถึงได้ง่าย คุ้มค่าเงิน และส่งมอบบริการแบบเทสุดใจ เพื่อให้ลูกค้ามีความสุข" นายฐากรกล่าว
ด้านธุรกิจรสินเชื่อ บริษัทมุ่งขยายไปต่อยอดการเติบโต โดยปัจจุบันปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มลูกค้าภายในเครือ TCC แต่ในครึ่งหลังของปี 64 เป็นต้นไปจะเริ่มให้บริการสินเชื่อกับลูกค้าอื่นๆนอกกลุ่ม TCC ภายใต้แบรนด์ "อาคเนย์มันนี่" ได้แก่ สินเชื่อรถยนต์รถเช่ามือสอง สินเชื่อมอเตอร์ไซด์ จะเปิดให้บริการในไตรมาส 3/64 ขณะที่ สินเชื่อจำนำทะเบียน และสินเชื่อส่วนบุคคล จะให้บริการในไตรมาส 4/64 โดยตั้งเป้าปล่ยสินเชื่อใหม่ในปีนี้ไว้ที่ 2 พันล้านบาท
พร้อมกับการเดินหน้าขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสินเชื่ออื่นๆเข้ามาเพิ่มเติม โดยการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมธุรกิจ หรือเข้าซื้อกิจการในธุรกิจที่บริษัทมองว่ามีศักยภาพและมีความน่าสนใจ สามารถสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้อย่างรวดเร็ว โดยที่บริษัทไม่ต้องลงทุนมาก ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนาโนไฟแนนซ์ และไมโครไฟแนนซ์อยู่ค่อนข้างมาก และปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการมองหาธุรกิจที่มีเครือข่ายนและมีความสามารถที่บริษัทสนใจเข้าลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจ
สำหรับการขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคอาเซียนนั้นบริษัทคาดว่าภายใน 5 ปี จะเริ่มเห็นการขยายไปยังเวียดนาม เพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพ แต่ยังคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะในการศึกษา เพราะเป็นแผนระยะยาว แต่ในระยะสั้นบริษัทต้องการพัฒนาธุรกิจในประเทศให้มีประสิทธิภาพที่ดี และสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในประเทศรายอื่นๆ ก่อน
ส่วนงบลงทุนในช่วง 3 ปี บริษัทตั้งไว้ที่ 1.5 พันล้านบาท ส่วนใหญ่จะนำไปใช้เพื่อลงทุนเทคโนโลยีเป็นหลัก ซึ่งจะเข้ามาเสริมประสิทธิภาพการทำงานและการบริการของลูกค้เให้ดียิ่งขึ้น และทำให้บริษัทมีความสามารถใฝนการทำกำไรได้สูงขึ้น โดยที่คาดหวังกำไรเติบโตเฉลี่ย 20% ต่อปี
ส่วนพอร์ตการลงทุนของบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ 5-6 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ยังเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ในสัดส่วนที่มากที่สุด แต่บริษัทมองเห็นโอกาสในการเข้าลงทุนในตราสารทุนประเภทกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหารมิทรัพย์ (REITs) มากขึ้น หลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายลงบ้าง ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์จะเริ่มฟื้นตัวกลับมา และคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3% ต่อปี