นายชัชพล ประสพโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ยูเอซี โกลบอล (UAC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปี 64 เติบโต 15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,556.35 ล้านบาท พร้อมรักษาระดับกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ไว้ให้ไม่ต่ำกว่า 20% ของรายได้ โดยเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนในกลุ่ม circular economy และ green chemicals รวมถึงรักษาสภาพคล่องหรือทำให้กระแสเงินสดเป็นบวก (Positive Cash Flow)
การเติบโตของรายได้ในปีนี้จะมาจากทุกธุรกิจที่มีการเติบโตดีขึ้น โดยธุรกิจเทรดดิ้ง คาดว่าจะเติบโตดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากในปีที่ผ่านมากลุ่มลูกค้าหลัก เช่น กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน ปิโตรเคมี ลดกำลังการผลิตไปค่อนข้างมาก ทำให้ยอดขายของบริษัทลดลงตามไปด้วย แต่ปีนี้คาดว่าโรงกลั่นน้ำมันน่าจะกลับมาเดินเครื่องผลิตได้ไม่ต่ำกว่า 70-80% ขณะเดียวกันก็จะเห็นได้ว่าราคาเม็ดพลาสติก ปิโตรเคมีขยับขึ้นไปมาก และปัจจุบันการผลิตสินค้าก็ไม่พอขาย จึงเชื่อว่าจะต้องมีความต้องการใช้สินค้าและบริการของ UAC เพิ่มขึ้นมาก
ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้ายังเติบโตได้ตามปกติ และธุรกิจเคมีภัณฑ์ คาดว่ายอดขายและอัตราการทำกำไรน่าจะทำได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเข้าร่วมโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากใน จ.ขอนแก่น โดยจะเข้าร่วมยื่นประมูลในส่วนของโรงไฟฟ้าไบโอแก๊สที่เปิดประมูลรวม 25 โครงการ ขนาด 3 เมกะวัตต์ต่อโครงการ ซึ่งปัจจุบันได้เตรียมพื้นที่ไว้ 4-5 โครงการที่จะเข้าไปร่วมกับวิสาหกิจชุมชน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการประกวดราคาได้ในเดือน เม.ย.นี้ และน่าจะรู้ผลรอบแรกภายในต้นเดือน พ.ค.64
บริษัทวางงบลงทุนปีนี้ไว้ราว 2,100 ล้านบาท แบ่งเป็นใช้รองรับการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งบริษัทสนใจเข้าร่วมประมูลราว 4-5 โครงการ กำลังการผลิตรวมไม่เกิน 15 เมกะวัตต์ คาดว่าใช้เงินลงทุนราว 300 ล้านบาทต่อโครงการ และการลงทุนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง รวมเป็นเงินลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท และที่เหลืออีกราว 50-100 ล้านบาท จะใช้ปรับปรุงโรงงานเดิมและลงทุนในธุรกิจใหม่ที่บริษัทเพิ่งเริ่มต้นดำเนินการ
ส่วนความคืบหน้าโครงการจัดการขยะเพื่อผลิตพลังงานทดแทนและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่ที่นครเวียงจันทน์ ใน สปป.ลาว ปัจจุบันลงทุนเฟสแรกไปแล้วราว 87.88% กำลังการผลิต 6 เมกะวัตต์ คาดจะขายพลาสติกรีไซเคิลให้กับบริษัทเอกชน โดยมีปริมาณการรับซื้อประมาณ 13,200 ตันต่อปี และขายปุ๋ยอินทรีย์เคมีให้กับหน่วยงานภาคเกษตรกรรมของ สปป.ลาว โดยมีปริมาณการรับซื้อประมาณ 30,000 ตันต่อปี ซึ่งน่าจะดำเนินการได้ภายในเดือนมี.ค.นี้