นายอุดมเดช ศรีมาเสริม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.เดนทัล คอร์ปอเรชั่น (D) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 64 ว่า บริษัทคาดการณ์รายได้ราว 706 ล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้อยู่ที่ 572.41 ล้านบาท โดยรายได้ในปีนี้จะมาจากกลุ่มงานบริการทันตกรรมที่ 408 ล้านบาท และกลุ่มงานจำหน่ายวัสดุและอุปกรณ์ทันตกรรม 298 ล้านบาท ขณะที่บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 10 ล้านบาท รวมไปถึงทางบริษัทยังมีงานโครงการราชการที่มีงานในมือ (Backlog) จะทยอยส่งมอบได้ในปีนี้
กลยุทธ์การดำเนินงานในปีนี้ยังคงหาทำเลที่มีศักยภาพและมีความเสี่ยงน้อยเพื่อขยายสาขาศูนย์ทันตกรรมใหม่ ซึ่งหลักสำคัญคือการเจรจาให้ได้ค่าเช่าที่ถูกในระยะยาว นอกจากนี้การเปิดสาขาใหม่จะลงทุนด้านการตกแต่งไม่เกิน 2-3 ล้านบาท เพื่อจะได้คืนทุนเร็วและไม่เป็นภาระทางบัญชีมากนัก ยกตัวอย่าง Smile Signature สาขาใหม่ในพื้นที่อ่อนนุช ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือน พ.ค.64
รวมไปถึงการพิจารณาทบทวนค่าเช่าของสาขาที่มีอยู่แล้ว หากสูงเกินไปอาจจะต่อรองลดราคาลงมา หรือในบางสาขาอาจจะพิจารณาการย้ายสาขา เช่น สาขาสยามสแควร์ โดยอาจจะย้ายไปอยู่ในอาคารใหม่ที่กำลังก่อสร้าง ซึ่งจะสามารถลดค่าเช่าได้ประมาณครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพใกล้เคียงเดิม
นอกจากนี้ บริษัทยังเพิ่มทักษะการขายให้กับพนักงานบริการลูกค้า ทั้งการทำ Inhouse Training และการเชิญบุคคลภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญด้านการให้บริการมาอบรมพนักงาน โดยในปีที่ผ่านมามีการเชิญโค้ชที่อบรมพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของการบินไทยระดับเฟิร์สคลาส มาฝึกสอนให้กับพนักงานของบริษัท ทำให้พนักงานมีทักษะที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
พร้อมกันนั้น บริษัทจะเจาะกลุ่มลูกค้าในประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบน้อยจากช่วงโควิด-19 เช่น องค์กรขนาดใหญ่ หรือชาวต่างชาติที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ซึ่งล่าสุดได้มีการทำความตกลงกับสถานเอกอัครราชฑูตสหรัฐอเมริกาเพื่อดูแลสุขภาพฟันให้กับเจ้าหน้าที่สถานฑูตทั้งหมด ซึ่งทางบริษัทก็จะมุ่งเจาะตลาดและเพิ่มรายได้จากกลุ่มนี้ให้มากที่สุด
นายอุดมเดช ยังกล่าวถึงการให้บริการคลินิคทันตกรรมว่ายังคงขยายความหลากหลายในการให้บริการ ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น Vivera (รีเทนเนอร์) Invisalign (การจัดฟันใส) หรือ รากฟันเทียมมาตรฐานยุโรปในราคาที่จับต้องได้ และในส่วนของโรงพยาบาลทันตกรรม BIDH ยังคงมีจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์คือการให้บริการรักษาคนไข้ด้วยการดมยาสลบ ภายใต้ Theme จุดจบของความกลัวการทำฟัน
ส่วนของธุรกิจจำหน่ายวัสดุและอุปกรณ์ทันตกรรม ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น เครื่องสแกนฟัน BenQ โดยมีการทำการตลาดเชิงรุกทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดี โดยในปีนี้ยังคงจะเร่งหาสินค้าทันตกรรมและสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น เครื่องฟอกอากาศ เครื่องดูดละอองฝอย และอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ที่มีคุณภาพมาจัดจำหน่ายเพื่อขยายรายได้ให้กับบริษัทมากขึ้น
และช่องทางจัดจำหน่าย ทางบริษัทได้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งทางบริษัทได้มีการปรับตัวตอบสนองพฤติกรรมดังกล่าว โดยจะเร่งทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดียเชิงรุกให้มากขึ้นในทุกแพลตฟอร์ม เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางเว็บไซต์ หรือ เพจเฟซบุ๊ก นอกจากนี้ยังมีการเร่งเจรจากับแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพื่อนำสินค้าของทางบริษัทไปจัดจำหน่าย โดยในปัจจุบันยอดขายออนไลน์มีการเติบโตที่ดีและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
ทางบริษัทมั่นใจว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้น จากการคาดการณ์ของ OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development) ว่า GDP ของโลกในปีนี้จะมีอัตราเติบโตเท่ากับช่วงก่อนโควิดภายในปี 64 และจากการคาดการณ์ของ UNWTO (The World Tourism Organization) คาดว่าอัตราการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวระหว่างประเทศจะอยู่ที่ 22% ในไตรมาสสุดท้ายของปีและจะฟื้นตัวถึง 64% ในปี 65 ประกอบกับความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และการผ่อนปรนของมาตรการภาครัฐ ซึ่งจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้อีกด้วย