NER เล็งปรับเพิ่มเป้ายอดขายปี 64 หลังแนวโน้มดีมานด์ยางพาราพุ่งตามกระแสรถ EV

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 23, 2021 18:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

NER เล็งปรับเพิ่มเป้ายอดขายปี 64 หลังแนวโน้มดีมานด์ยางพาราพุ่งตามกระแสรถ EV

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) เปิดเผยว่า บริษัทอาจมีการการปรับเป้าหมายของยอดขายใหม่ของปี 64 ในช่วงไตรมาส 2 จากเดิมที่คาดว่าจะมีรายได้ 2.2 หมื่นล้านบาท และปริมาณการขายยางพารา 410,000 ตัน เนื่องจากการทั่วโลกสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพื่อลดการปล่อยก๊าซพิษไอเสียรถยนต์สู่อากาศ ทำให้ยอดขายรถยนต์ NEV ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด และรถยนต์พลังงานเซลส์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนทั่วโลกมียอดขายเพิ่มขึ้น ทำให้ประเมินภาพรวมความต้องการใช้ยางพารามีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากปี 63 และจะเติบโตอย่างต่อเนื่องไปถึงปี 65

ด้านราคายางพาราเฉลี่ยในปี 64 จะสูงกว่าปี 63 จากภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศจีนที่กลับมาเติบโตได้ดี โดยจีนเป็นหนึ่งในประเทศผู้บริโภคยางพารารายใหญ่ของโลก ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ยางเพื่อการผลิตยางล้อในอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงได้รับผลดีจากการดึงความต้องการใช้ยางธรรมชาติ ที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยาง หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19

สำหรับสัดส่วนรายได้ปี 64 ทางบริษัทยังวางนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 60 : 40 ซึ่งในสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศแบ่งเป็น จีน 60% , ญี่ปุ่น 20% และอื่นๆอีก 20% เช่น สิงคโปร์ บังคลาเทศ เป็นต้น ทางบริษัทมีประมาณการในการเพิ่มกลุ่มลูกค้าอินเดีย เพื่อให้เกิดส่วนแบ่งทางการตลาดอุตสาหกรรมยางธรรมชาติออกจากประเทศจีน ทั้งนี้เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการพึ่งพาลูกค้าจากประเทศใดประเทศหนึ่งเพียงอย่างเดียว มองว่าเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมของลูกค้าในประเทศที่มีการเพิ่มกำลังการผลิตจากการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนย้ายมาตั้งโรงงานอยู่ที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และลูกค้าต่างประเทศที่มีความต้องการใช้ยางธรรมชาติอยู่ แต่ปริมาณของผู้ส่งออกยางธรรมชาติในประเทศไทยมีปริมาณลดลง

นอกจากนี้สมาคมประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติ (ARPC) คาดการณ์ปี 64 ความต้องการใช้ยาง ธรรมชาติของโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 8-10% (เทียบกับปี 63 ปรับตัวลดลง -15%) ขณะที่ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) มองว่าสถานการณ์ผลผลิตยางพาราโลกในปี 64 ต่อเนื่องถึงปี 65 จะไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้โดยเห็นสัญญาณมาตั้งแต่ปลายปี 63 ที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ การใช้ยางธรรมชาติกลับมาดำเนินธุรกิจกันใหม่และต่างเดินเครื่องกันเต็มกำลังการผลิต

ในส่วนของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) วางเป้าหมายการผลิตรถยนต์ของไทยปี 64 ที่ 1.5 ล้านคันเพิ่มขึ้น 5.12 % จาก1.42 ล้านคันในปีก่อนสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการใช้ยาง รถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น และคาดว่าความต้องการใช้ถุงมือยางจะเติบโต 25% ในปี 64 และ 20% ในปี 65 จากปัจจัยทั้งหมดจะส่งผลให้ราคายางแผ่นดิบและยางแผ่นรมควันจะเป็นราคาเฉลี่ยที่ 65-70 บาทต่อกิโลกรัมนับจากนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ