โบรกเกอร์ต่างเชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT) ความต้องการใช้ถุงมือยางยังคงสูงต่อเนื่อง จากการแพร่ระบาดโควิด-19 กลับมาอีกระลอก ความต้องการใช้สินค้าและผลิตภัณฑ์สุขอนามัยยังคงสูงต่อในปี 64 ซึ่งเป็นบวกกับ STGT
ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยและมาร์จิ้นปี 64 จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้การเติบโตของรายได้และกำไรแข็งแกร่งต่อเนื่องในปีนี้ โดยไตรมาส 1/64 คาดราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาสก่อนหน้า
แม้ว่าโครงสร้างอุตสาหกรรมถุงมือยางโลกกำลังจะเปลี่ยนไป โดยผู้ประกอบการจีนกำลังจะมีบทบาทสูงขึ้นมากในปี 65-66 แต่ตัวแทนผู้ประกอบการไทยอย่าง STGT จะยังคงรักษาตำแหน่งใน Top 4 ของโลกได้ บนความได้เปรียบที่เหนือกว่าในด้านวัตถุดิบ จากการที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก และฐานะทางการเงินเข้มแข็งมาก โดยระหว่างเฝ้าดูพัฒนาการของผู้ประกอบการจีนนั้น STGT ยังสามารถให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ในระดับสูง
นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์เดือนเม.ย.-พ.ค.64
หุ้น STGT ปิดเทรดเช้าที่ 40.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท (+0.62%) ขณะที่ดัชนี SET ปิดบวก 0.28%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เคทีบีเอสที ซื้อ 58.00 ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ซื้อ 55.00 หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อ 53.00 เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ซื้อ 49.25 โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 47.00 ฟิลลิป (ประเทศไทย) ซื้อ 45.75 กสิกรไทย ซื้อ 43.25
น.ส.หมิ่น หลิง หวัง นักวิเคราะห์หลักทรัพย์กลุ่ม F&B และ Gadget บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบที่ 3 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในทวีปยุโรปค่อนข้างน่าผิดหวัง เห็นได้จากจำนวนการฉีดวัคซีนที่อยู่ในระดับต่ำ หรือคิดเป็น 58 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรเพียง 6.6% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งถือว่าทำได้ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาเกือบ 3 เท่า ส่งทำให้ยุโรปเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าจับตา
ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลดีต่อ STGT ซึ่งในแง่ของราคาหุ้นก็แกว่งไซด์เวย์มาได้ 2-3 เดือนแล้ว เป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนสามารถเข้ามาเก็งกำไรได้บนภาวะตลาดที่เริ่มมีความเสี่ยงลดลง, ความกังวลของการกลับมาเกิดการระบาดฯ รอบที่ 3 มีมากขึ้น, อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ปรับลดลง, ยอดผู้ติดเชื้อในยุโรปเริ่มเร่งตัวในหลาย ๆ ประเทศ เริ่มกลับมาล็อกดาวน์ รวมถึงวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าก็มีปัญหาเล็กน้อย โดยระยะสั้นให้ราคาไว้ที่ 43.25 บาท/หุ้น
ทั้งนี้ ผลประกอบการในปีนี้มองว่ากำไรยังเติบโตจากปีก่อนได้ ตามราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ไตรมาส 1/64 ว่า ASP ยังคงปรับตัวขึ้นต่อ อ้างอิงจากตัวเลขตามอุตสาหกรรม เห็นได้ว่าราคายังยืนอยู่ได้ทุกผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นขนาด 5 กรัม, 3.5 กรัม หรือทุกประเภทถุงมือยางที่มีแป้ง ไม่มีแป้ง รวมถึงถุงมือยางสังเคราะห์ด้วย ซึ่งราคาที่เพิ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนมี.ค.64 ก็ยังยืนอยู่ได้ และมีบางผลิตภัณฑ์ที่ขาดแคลนไปตั้งแต่เดือนธ.ค.63 ก็เริ่มกลับมามีสต็อกมากขึ้น ฉะนั้นจึงมองว่า ASP จะยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และ Backlog ก็ยาวไปอีกหลายปี
ขณะที่ปริมาณการขายในไตรมาส 1/64 อาจะมี Sentiment ลบจากการขนส่งที่ชะลอออกไป แต่มองว่าเป็นความล่าช้า ซึ่งยอดผลิตยังคงผลิตได้ดี โดยมีกำลังการผลิตเกิน 95% ซึ่งหากไม่สามารถส่งมอบได้ทันในไตรมาสแรกนี้ จากปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน ก็มีโอกาสเลื่อนไปในไตรมาส 2/64 ค่อนข้างมาก และถึงแม้ว่าปริมาณการขายจะปรับตัวลดลง แต่โดยรวม ASP ปรับตัวขึ้นอย่างน้อย 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จะส่งผลให้มีกำไรในไตรมาสนี้ที่ระดับ 9,500 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนมีกำไรอยู่ที่ 8,500 ล้านบาท
ส่วนการจ่ายเงินปันผลของ STGT ก็ถือว่าค่อนข้างสูงพอสมควร และยังจ่ายรายไตรมาส หากดูจากประมาณการกำไรทั้งปี 64 ที่ทำไว้ประมาณ 29,000 ล้านบาท เทียบกับราคาหุ้นประมาณ 40 บาท จะเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เกือบ 13% หรือคิดเป็นรายไตรมาสที่ประมาณ 3%
ด้าน บล.เมย์แบงก์ กินเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แม้ว่าโครงสร้างอุตสาหกรรมถุงมือยางโลกกำลังจะเปลี่ยนไป โดยผู้ประกอบการจีนกำลังจะมีบทบาทสูงขึ้นมากในปี 65-66 แต่ตัวแทนผู้ประกอบการไทยอย่าง STGT จะยังคงรักษาตำแหน่งใน Top 4 ของโลกได้ บนความได้เปรียบที่เหนือกว่าในด้านวัตถุดิบ จากการที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก และฐานะทางการเงินที่เข้มแข็งมาก โดยระหว่างเฝ้าดูพัฒนาการของผู้ประกอบการจีนนั้น STGT ยังสามารถให้ปันผลระดับสูง Dividend Yield ระดับ 10.9% และมี valuation ที่ปลอดภัยเพียง P/E 4.6 เท่า
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการถุงมือยางจีน 2 รายใหญ่ (Intco และ Blue Sail) กำลังเร่งขยายกำลังกรผลิตอย่างรวดเร็วใน 2 ปีนี้ ซึ่งเร็วกว่าคาด อีกทั้งยังโฟกัสไปที่ถุงมือยางแบบการแพทย์ (medical grade) ซึ่งเป็นตลาดหลักของผู้ประกอบการในอาเซียน โดยในปี 66 Intco จะมีกำลังการผลิต 173 พันล้านชิ้น เป็นรองเพียง Top Glove ที่ 175 พันล้านชิ้น) ขณะที่ Blue Sail จะเป็นอันดับ 3 ที่ 80 พันล้านชิ้น) ส่วน STGT ยังรั้งอันดับ 4 ได้ที่ 65 พันล้านชิ้น
ขณะที่อุปสงค์ในถุงมือยาง Latex และ Nitrile ในปี 65 จะเริ่มชะลอลงสู่ +10% และ +20% ตามลำดับ (จาก +26% และ +28% ในปี 64) ดังนั้นภาวะอุอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) คาดจะเกิดขึ้นในปี 66 เป็นต้นไป
ด้านราคาถุงมือโลกมีโอกาสอ่อนตัวลงอีกในปี 66 แต่ปี 64 ยังยอดเยี่ยมจากแนวโน้มข้างต้น จึงได้ปรับประมาณการสมมติฐานราคาถุงมือยางเฉลี่ยในปี 66 ลงจากเดิม คาดหด 10% เป็นหดตัว 20% หรือ 29.7 เหรียญ/1,000 ชิ้น จาก 34.9 เหรียญ/1,000 ชิ้นในไตรมาส 4/63 และสมมติฐานเฉลี่ย 53.0 เหรียญ/1,000 ชิ้นในปี 64 ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 66 ถูกปรับลง 14.6% และให้ภาพว่าปี 64 เป็นปีที่ดีที่สุดของบริษัทที่กำไร 2.48 หมื่นล้านบาท
ส่วน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า ความต้องการใช้ถุงมือยางยังคงสูงต่อเนื่อง จากการแพร่ระบาดโควิด-19 กลับมาอีกระลอก โดยฝรั่งเศสประกาศล็อกดาวน์กรุงปารีส และเมืองอื่นอีกหลายแห่งเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อสกัดการแพร่ระบาดโควิด-19 ขณะที่อังกฤษชะลอแผนฉีดวัคซีนโควิดในเดือนเม.ย.64 เพราะปัญหาด้านการขนส่งวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าจากอินเดีย และจำเป็นต้องทดสอบความเสถียรของวัคซีนจำนวน 1.7 ล้านโดสก่อน
ส่วนในไทยก็มีการแพร่ระบาดจากคลัสเตอร์ใหม่ คือ บางแค ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันเพิ่มขึ้นอีกระลอก และต้องติดตามว่าหลังวันหยุดระยะยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้นอีกหรือไม่
ความต้องการใช้สินค้าและผลิตภัณฑ์สุขอนามัยยังคงสูงต่อในปี 64 ซึ่งเป็นบวกกับ STGT ที่มีการขยายกำลังการผลิตถุงมือยางต่อเนื่อง (บริษัทมีแผนทยอยขยายจาก 3.2 หมื่นล้านชิ้น/ปีในสิ้นปี 63 เป็น 1 แสนล้านชิ้นในปี 69) และมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าแล้วถึงปี 66 ทั้งนี้บริษัทระบุว่าในปัจจุบันตลาดโลกมีอุปสงค์ถุงมือยางประมาณ 5.85 แสนล้านชิ้นต่อปี ขณะที่มีอุปทาน 3.7 แสนล้านชิ้นต่อปี
ด้านราคาขายเฉลี่ยและมาร์จิ้นปี 64 จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับไตรมาส 1/64 คาดราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาสก่อนหน้า ทำให้กำไรจะเติบโตแข็งแกร่ง ส่วนทั้งปี 64 ประมาณการว่ากำไรสุทธิจะเติบโต 33%
STGT มองปัจจัยหนุน คือ การเติบโตของรายได้และกำไรที่แข็งแกร่งต่อเนื่องในปี 64, จ่ายปันผลสูง ทั้งนี้ประกาศจ่ายปันผลสำหรับครึ่งปีหลัง เท่ากับ 2 บาท/หุ้น ขึ้น XD วันที่ 12 เม.ย.64 คิดเป็น Dividend yield 5% ส่วนปี 64 ประมาณการไว้ที่ 7-8% บริษัทคาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์เดือนเม.ย.-พ.ค.64