นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ากำไรสุทธิปีนี้เติบโต 30% จากปีก่อน ตามยอดเก็บหนี้ที่เพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวของพอร์ตการบริหารหนี้ และการร่วมมือกับบริษัทในกลุ่มเจมาร์ท
ล่าสุดบริษัทฯ ได้ร่วมกับ บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) และบริษัท เคบี เจ แคปปิตอล จำกัด (KB J Capital) ซึ่งถือเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มเจมาร์ท เพื่อดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์รอการขาย (NPA) โดยเป็นการต่อยอดธุรกิจเดิม หรือ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ทั้งการซื้อหนี้ที่มีหลักประกัน (NPA) และไม่มีหลักประกัน (NPL) เข้ามาบริหาร ซึ่งที่ผ่านมา JMT ประมูลซื้อหนี้เข้ามาบริหารอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทั้งประเภท บ้าน คอนโด และอาคารพาณิชย์ ปัจจุบัน พอร์ต NPA มีอยู่ในมือแล้วประมาณ 200 หลัง และคาดว่าจะมี 500 หลัง ภายในปีนี้ รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท
ทั้งนี้การ Synergy ภายในกลุ่มครั้งนี้ JMT จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดหาสินทรัพย์ที่มีหลักประกันและจำหน่ายผ่านทางร้านค้า (เคาน์เตอร์) ของ JMART Mobile ขณะที่ J จะทำหน้าที่ปรับปรุง (รีโนเวท) สินทรัพย์ และทาง KB J Capital จะทำหน้าที่ให้เงินสนับสนุนในการปล่อยสินเชื่อและรีโนเวทสินทรัพย์ NPA โดยบริษัทฯ วางเป้าหมายยอดขายสินทรัพย์ NPA ในปีนี้ไว้ที่ 200 ล้านบาท
ปัจจุบัน JMT มีพอร์ตหนี้ที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันรวมกันอยู่ที่ 2.7 แสนล้านบาท แบ่งเป็น หนี้ที่ไม่มีหลักประกัน หรือ NPL จำนวน 2 แสนล้านบาท คาดจะรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 14 ปี ส่วนหนี้ที่มีหลักประกัน อยู่ที่ 7,000 ล้านบาท คาดสร้างรายได้ต่อเนื่อง 5-7 ปี โดยปีนี้ก็วางงบลงทุนไว้ราว 6,000-10,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการซื้อสินทรัพย์เข้ามาบริหารเพิ่ม
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีโอกาสขยายเงินลงทุนเพิ่มเป็นระดับ 1 หมื่นล้านบาทได้ หากปีนี้สถาบันการเงินมีแนวโน้มการนำ NPL ออกมาขายจำนวนมากส่วนด้านแหล่งเงินลงทุนบริษัทฯ มองว่ามีเพียงพอ หลังจากในช่วงไตรมาส 1/64 ที่ผ่านมามีการออกเสนอขายหุ้นกู้มูลค่า 1,500 ล้านบาท และคาดว่าจะออกขายหุ้นกู้ในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้อีกครั้ง รวมถึงบริษัทยังจะได้เงินทุนเข้ามาอีกประมาณ 1-2 พันล้านบาท จากการใช้สิทธิแปลงวอร์แรนท์ JMT-W2 ของผู้ถือหุ้นในปีนี้
นายสุทธิรักษ์ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังเตรียมซื้อกิจการ (M&A) บริษัทที่ดำเนินธุรกิจประเมินสินทรัพย์ได้ภายในช่วงปลายเดือนมี.ค.นี้ หรืออย่างช้าไม่เกินช่วงต้นเดือนเม.ย.64 หลังจากที่ผ่านมามีการเซ็นสัญญาบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกันแล้ว ซึ่งมองว่าการลงทุนในธุรกิจดังกล่าวจะช่วยเติมเต็มให้บริษัทครบวงจรมากขึ้น หลังจากบริษัทมีแผนจะขยายธุรกิจเข้าไปในพอร์ตหนี้เสียที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น เช่น กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีและบริษัทที่มีสินทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า,โรงงาน และโรงแรมจำนวนมาก เป็นต้น