ฟิทช์ คงอันดับเครดิต PTTGC ที่ AA+(tha) แนวโน้มเป็นลบ

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 26, 2021 15:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว ของ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัท ที่ ?AA+(tha)? แนวโน้มอันดับเครดิตยังคงเป็นลบ ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น ที่ ?F1+(tha)?

แนวโน้มเครดิตเป็นลบสะท้อนถึงอัตราส่วนหนี้สินของ PTTGC ที่อาจจะปรับตัวลดลงช้ากว่าที่ฟิทช์คาดไว้ และความไม่แน่นอนที่อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO Net Leverage) จะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 2 เท่า ในปี 2565 และหลังจากนั้นฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ PTTGC จะอยู่ที่ 2.7 เท่า ณ สิ้นปี 2564 ซึ่งสูงกว่าระดับที่ฟิทช์คาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ 2.2 เท่า เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวนไม่เกิน 7.5 พันล้านบาท หาก PTTGC ดำเนินการเสนอซื้อหุ้นสามัญ (Tender Offer) จำนวน 16.2% เพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของ บมจ. วินิไทย (VNT) ในขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนน่าจะอยู่ในระดับสูงกว่าระดับที่ฟิทช์เคยประมาณการ ในช่วง 2 ปีข้างหน้า

ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วน FFO Net Leverage ของ PTTGC จะลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 2 เท่าในปี 2565 เนื่องจากกระแสเงินสดที่ปรับตัวดีขึ้น จากกำไรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายกำลังการผลิต และอุปสงค์ และส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ปรับตัวดีขึ้น หลังจากสถานะการณ์โคโรนาไวรัส และค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่ลดลง อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินของ PTTGC อาจยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 2 เท่า อย่างต่อเนื่อง หากอุปสงค์ และส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงอยู่ในระดับต่ำ จากสภาวะเศรษกิจที่ยังคงอ่อนแอ หลังปี 2564 ซึ่งอาจจำกัดการฟื้นตัวของรายได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้นโยบายการลงทุนขยายธุรกิจที่อาจเริ่มมีมากขึ้น อาจทำให้การปรับตัวลดลงของอัตราส่วนหนี้สินของบริษัท มีความล่าช้าออกไปอีก

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

  • อัตราส่วนหนี้สินปรับตัวลดลงช้ากว่าที่คาด: ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วน FFO Net Leverage ของ PTTGC จะปรับตัวดีขึ้นในปี 2564 และปี 2565 แต่การปรับตัวลดลงอาจช้ากว่าที่ฟิทช์คาดการณ์ไว้ เนื่องจากกำไรที่เพิ่มขึ้น ได้ถูกลดทอนจากการลงทุนเพิ่ม และค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่อาจถูกปรับเพิ่มขึ้นจากที่เคยวางแผนไว้ ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วน FFO Net Leverage ของ PTTGC จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 2 เท่า ในปี 2565 และ 1.5 เท่าในปี 2566 จาก 4.1 เท่า ในปี 2563 อย่างไรก็ตามการประมาณการดังกล่าว อยู่บนสมมุติฐานที่ว่า PTTGC จะดำเนินนโยบายเพื่อการรักษาสถานะทางการเงิน ซึ่งรวมถึงการพิจารณาระดับการลงทุนและการจ่ายเงินปันผล ให้สอดคล้องกับการฟื้นตัวของธุรกิจ
  • กำไรที่ฟื้นตัว: ฟิทช์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ PTTGC จะปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมาอยู่ที่ระดับประมาณ 3.2-3.7 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปี 2564 และ 2565 จาก 1.6 หมื่นล้านบาทในปี 2563 ธุรกิจปิโตรเคมีแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส แต่ก็ได้รับผลกระทบในระดับที่ต่ำกว่าธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน โดยส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับค่าการกลั่นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 ฟิทช์คาดว่าการฟื้นตัวของธุรกิจปิโตรเคมีในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 มีแนวโน้มที่จะต่อเนื่องในปี 2564 หลังจากมีการฉีดวัคซีน และกิจกรรมภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจมีการฟื้นตัว

นอกจากนี้ฟิทช์คาดว่าค่าการกลั่นจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2564 แต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากยังคงมีการจำกัดการเดินทางในปี 2564 ดังนั้นฟิทช์คาดว่าการฟื้นตัวของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันจะล่าช้ากว่าที่ฟิทช์ได้คาดการณ์ไว้

  • การลงทุนที่ลดลง: ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนของ PTTGC ในปี 2564 ถึงแม้ว่าจะมีการปรับเพิ่มจากแผนเดิม แต่จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปี 2563 หลังจากที่บริษัทเสร็จสิ้นการก่อสร้างโครงการ propylene oxide และ polyol และโครงการ olefins reconfiguration project (ORP) ฟิทช์คาดว่าค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนของบริษัทจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ในปี 2564 และ ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ในปี 2565 จาก 2.5 หมื่นล้านบาท ในปี 2563 ในขณะที่การลงทุนในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐอเมริกา ยังคงอยู่ในแผนของบริษัทในการสนับสนุนการเติบโต และเพิ่มการกระจายตัวของธุรกิจ ฟิทช์คาดว่าการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (Final Investment Decision) ของโครงการดังกล่าวน่าจะยังคงไม่เกิดขึ้น จนกว่าบริษัทจะสามารถหาผู้ร่วมทุนในโครงการดังกล่าวได้
  • กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น: ปริมาณการขายของ PTTGC น่าจะเพิ่มขึ้นในปี 2564 เนื่องจากกำลังการผลิตปิโตรเคมีใหม่ที่เพิ่มขึ้น บริษัทได้เริ่มดำเนินการผลิตของโครงการ propylene oxide และ polyol ซึ่งมีกำลังการผลิต 348,000 ตันต่อปี ในเดือนธันวาคมของปี 2563 ในขณะที่ โครงการ ORP ซึ่งมีกำลังการผลิต 750,000 ตันต่อปี ได้เริ่มการผลิตในไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 โดยโครงการข้างต้นจะทำให้กำลังการผลิตของธุรกิจปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 และจะช่วยผลักดันการเติบโตของรายได้และกำไรของบริษัทในปี 2564 เป็นต้นไป
  • เน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง: ฟิทช์คาดว่า PTTGC จะมุ่งเน้นในการเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง และการกระจายธุรกิจไปยังธุรกิจเคมีชนิดพิเศษ (Specialty Chemical) มากขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์และธุรกิจดังกล่าวมีเสถียรภาพมากกว่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีแบบพื้นฐานในช่วงที่อุตสาหกรรมอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากความต้องการของผลิตภัณฑ์ปลายทางมีความผันผวนที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ตามสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์เคมีที่มีมูลค่าสูงดังกล่าวน่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ อย่างน้อยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
  • การผลิตที่ครบวงจรและต้นทุนการผลิตที่ต่ำ: PTTGC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่ มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูง ส่งผลให้บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มากกว่า และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับผู้ผลิตปิโตรเคมีและน้ำมันอื่นๆ ในประเทศ นอกเหนือจากนี้ PTTGC ยังมีความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนการผลิตเนื่องจากวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตโอเลฟินส์ คือก๊าซธรรมชาติซึ่งจัดหาได้จากภายในประเทศ และบริษัทยังได้รับประโยชน์จากการที่มีสัญญาการจัดหาวัตถุดิบระยะยาวกับ ปตท. ซึ่งช่วยลดความผันผวนของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบได้
  • ความผันผวนตามวัฏจักรของธุรกิจ: อันดับเครดิตของบริษัทถูกลดทอนจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์ตามวัฎจักรของธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ความผันผวนของอัตราส่วนกำไรของผลิตภัณฑ์ ค่าการกลั่น ราคาวัตถุดิบ ราคาน้ำมัน และความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อกำไรและกระแสเงินสดของบริษัท นอกจากนี้ PTTGC ยังมีความเสี่ยงจากการพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบน้อยแหล่ง เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตส่วนใหญ่มาจาก บมจ. ปตท. (PTT) (ปตท.; อันดับเครดิตที่ AAA(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากการที่บริษัท รับวัตถุดิบส่วนใหญ่จาก ปตท. ได้ถูกบรรเทาลงจากการที่ ปตท. มีอันดับเครดิตที่แข็งแกร่ง และเป็นผู้ดำเนินธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ในประเทศไทย
  • ความเชื่อมโยงกับบริษัทแม่: อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ PTTGC ได้มีการพิจารณารวมถึงการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นสองอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone credit profile) ของบริษัทที่ ?aa-(tha)? ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระดับปานกลางระหว่างบริษัทกับบริษัทแม่ หรือ ปตท. ฟิทช์เชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมี และโรงกลั่น ซึ่ง PTTGC เป็นหนึ่งในผู้ดำเนินการหลักของกลุ่ม มีความสำคัญด้านกลยุทธ์ต่อกลุ่ม ปตท. เพิ่มขึ้นหลังจากมีการปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มในช่วงก่อนหน้านี้
  • EBITDA จากธุรกิจปิโตรเคมี และโรงกลั่น มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สามของกลุ่ม เนื่องจากผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีในปี 2562 และปี 2563 อ่อนแอลง โดยมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 18 ของ EBITDA รวมของกลุ่ม ปตท. ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา PTTGC ยังเป็นผู้รับซื้อวัตถุดิบที่เป็นผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรายใหญ่ของ ปตท. และ เป็นบริษัทปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดของ ปตท.

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ PTTGC ได้มีการพิจารณารวมถึงการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นสองอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพังของบริษัทที่ ?aa-(tha)? ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระดับปานกลางระหว่างบริษัท กับ ปตท. โดย PTTGC เป็นบริษัทปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่ม ปตท. และเป็นตัวจักรสำคัญในการขยายธุรกิจปิโตรเคมีของ ปตท. โดยเห็นได้จากการที่ ปตท. ได้โอนธุรกิจปิโตรเคมีให้กับ PTTGC ในปี 2560 นอกจากนี้ PTTGC ยังได้รับผลประโยชน์จากสัญญาการจัดหาก๊าซธรรมชาติกับ ปตท. ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนการผลิต และสัญญาการซื้อขายผลิตภัณฑ์กับ ปตท. ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับวัตถุดิบได้

สถานะทางเครดิตโดยลำพังของ PTTGC ที่ ?aa-(tha)? สะท้อนถึงขนาดธุรกิจและการผลิตปิโตรเคมีที่ใหญ่ของบริษัท รวมถึงต้นทุนการผลิตที่ต่ำ เนื่องจากการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี สถานะทางธุรกิจของ PTTGC แข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทในธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีในประเทศไทยที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิต และมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่งดังกล่าว PTTGC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่าและมีการผลิตปิโตรเคมีที่มากกว่าเมื่อเทียบกับ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A+(tha); แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ)นอกจากนี้ PTTGC ยังมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า TOP

PTTGC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่าและมีการกระจายตัวของธุรกิจปิโตรเคมีที่มากกว่าเมื่อเทียบกับ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A-(tha); แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) นอกจากนี้ บริษัทยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่าและมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่ามาก

สมมุติฐานที่สำคัญ:

  • ราคาน้ำมันดิบ (เบรนท์) ที่ราคา 58 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2564, 53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565 และปี 2566 โดยมีการปรับปรุงด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ PTTGC
  • กำไรของธุรกิจอะโรเมติกส์ และธุรกิจโอเลฟินส์ ปรับดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2564 และปี 2565
  • ค่าการกลั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2564 และ 2565
  • ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนรวมจำนวน 5 หมื่นล้านบาท ในปี 2564-2566
  • จ่ายเงินปันผลร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวม

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยบวก: แนวโน้มเครดิตอาจถูกปรับเป็นมีเสถียรภาพ หากอัตราส่วน FFO Net Leverage ลดลงไปอยู่ในระดับต่ำกว่า 2 เท่าภายในปี 2566 อย่างต่อเนื่อง และ ระดับความสัมพันธ์ในด้านการดำเนินงาน และความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระหว่างบริษัท กับ ปตท. ที่เพิ่มสูงขึ้น

ปัจจัยลบ: อันดับเครดิตอาจถูกปรับลด หากปัจจัยบวกข้างต้นไม่เกิดขึ้น และ ระดับความสัมพันธ์ในด้านการดำเนินงาน และความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระหว่างบริษัทฯ กับ ปตท. ที่ลดน้อยลง

สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง: PTTGC มีหนี้สินที่ 1.5 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 โดยหนี้สินที่ครบกำหนดชำระภายในปี 2564 อยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านบาท สภาพคล่องได้รับการสนับสนุนจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 6.1 หมื่นล้านบาท และฟิทช์คาดว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดสุทธิที่ประมาณ 6.2 พันล้านบาท ในปี 2564


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ