บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้ม SET INDEX สัปดาห์นี้แนะดูบริเวณ 1,585 จุด หากผ่านได้พร้อมกับสามารถยืนได้มีโอกาสที่ในระยะถัดไปจะปรับตัวขึ้นต่อ ทั้งนี้ปัจจัยที่จะส่งผลต่อดัชนีในสัปดาห์นี้ คือ
- การประชุมกลุ่มโอเปกพลัสในวันที่ 1 เม.ย. หากที่ประชุมตัดสินใจคงกำลังการผลิตที่ระดับเดิมมองไม่มีผลใดๆ แต่หากปรับเพิ่มกำลังผลิตมีโอกาสที่ราคาน้ำมันจะเริ่มมี Upside จำกัดหรือย่อตัว แต่หากลดกำลังการผลิตมองราคาปรับตัวขึ้นต่อ
- นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีกำหนดแถลงรายละเอียดลงทุนครั้งใหญ่ 3 ล้านล้านดอลลาร์ในวันพุธด้วยเม็ดเงินค่อนข้างใหญ่จึงต้องติดตามว่านโยบายที่เคยกล่าวไว้อย่างการขึ้นปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลจะนำมาใช้เพื่อเป็นการลงทุนครั้งนี้หรือไม่ หากเริ่มกล่าวถึงการขึ้นภาษีมีโอกาสที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะถูกเทขายจาก EPS ที่มีโอกาสถูกปรับลง แต่เม็ดเงินมีโอกาสไหลมายังตลาดหุ้นเอเชียรวมถึงไทยด้วยระดับ Valuation ที่ถูกกว่าและ EPS ไม่ได้รับผลกระทบเหมือนสหรัฐ ปัจจุบัน Dow Jones ซื้อขายราว 21.4x Forward PE 21 ต่างกับ MSCI EM ที่ซื้อขายเพียง 15.5x Forward PE 21 ส่วน SET อยู่ที่ 20.2x Forward PE 21
ดังนั้นหากเป็นไปตามคาดหมายก็มีโอกาสที่จะผ่าน 1,585 จุดไปได้ในสัปดาห์นี้ กลยุทธ์การลงทุนแนะรอผ่าน 1,585 จุด แล้วใช้จังหวะ Follow Buy เน้นหุ้นใหญ่ อาทิ ธนาคาร (BBL KBANK SCB) ค้าปลีก (BJC CPALL CRC) ปิโตรเคมี (PTTGC IVL) ส่วนระหว่างรอ 2 ปัจจัยข้างต้นเน้นหุ้นหุ้นกลาง - เล็ก (ICHI JWD MAJOR PSL PTG RS TACC)
สำหรับกรณีเรือขวางคลองสุเอซ เราให้น้ำหนักผลกระทบเพียงระยะสั้นเท่านั้นเนื่องจากเชื่อว่าท้ายที่สุดจะสามารถหาทางแก้ไขได้ ทั้งนี้แม้จะมีผลเพียงระยะสั้นแต่ผลกระทบที่เราประเมินคือจะส่งผลลบระยะสั้นต่อธุรกิจที่ส่งออกไปยัง EU เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวถือเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญในการขนส่งสินค้าจากเอเชียไปยังยุโรปมอง ASIAN HANA KCE TU รับผลกระทบจากการที่มีรายได้ส่งไปยุโรป ส่วนได้ประโยชน์ได้แก่ (1) กลุ่มน้ำมัน (PTTEP) เนื่องจากทำให้อุปทานหายไป โดยคลองสุเอซเป็นช่องทางสำคัญในการขนส่งน้ำมันคิดเป็นสัดส่วน 10% ของการค้าทั้งโลก (2) กลุ่มเดินเรือ (PSL TTA) ปริมาณเรือที่ค้างในทะเลจะเป็นปัจจัยทำให้ Supply สะดุดช่วงสั้นหนุนค่าระวางเรือวิ่งสูงขึ้น
ส่วนความคืบหน้าเรื่องการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ในสัปดาห์ก่อนที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ได้อนุมัติเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินำร่องที่ภูเก็ตก่อนจังหวัดแรก โดยหากได้รับ Vaccine แล้วสามารถเข้ามาท่องเที่ยวที่ภูเก็ตได้แบบไม่ต้องมีการกักตัวใดๆ เริ่มตั้งแต่ 1 ก.ค. ส่วนจังหวัดอื่นๆทางภาครัฐจะนำไปพิจารณาในระยะถัดไป สำหรับหุ้นมอง (AOT CENTEL CPALL CPN ERW MINT SPA) รับผลบวกเนื่องจากประกอบธุรกิจในภูเก็ต อย่างไรก็ตามให้น้ำหนักเพียง Sentiment เท่านั้นเพราะผลบวกต่อกำไรยังจำกัดและไม่แนะเก็งกำไรจากประเด็นดังกล่าวด้วยราคากลุ่มท่องเที่ยวที่ฟื้นมาจากLock Down ครั้งแรกราว 71% มองระดับราคาปัจจุบันสะท้อนไปแล้ว
PTG (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 23 บาท) มองบริษัทกลับมามีความน่าสนใจอีกครั้งด้วยการที่เดือน เม.ย. มีวันหยุดยาวถึง 2 ครั้งเชื่อว่าจะเกิดการเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดหนุนอุปสงค์การใช้น้ำมันมากกว่าปกติ (บวกต่อบริษัท) ส่วนด้านพื้นฐานกำไรยังแข็งแกร่งหนุนจากค่าการตลาด QTD อยู่ที่ 2.1 บาท/ลิตร เทียบ 1Q20 ที่ 2.02 บาท/ลิตร
TACC (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 9.1 บาท) ได้ประโยชน์จากปัจจัยฤดูกาลตามอากาศที่ร้อน ส่วนพื้นฐานยังแข็งแกร่งเติบโตต่อเนื่องตามกลุ่ม CP เราเล็งเห็น Upside จากนี้ 2 ปัจจัยด้วยกันได้แก่ (1) Lotus (2) การขยาย CPALL ไปยังกัมพูชาและลาว