โบรกเกอร์ต่างเชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) เล็งผลงานไตรมาส 2/64 พลิกเป็นกำไร รับอานิสงส์โควิด-19 ผ่อนคลาย และกระแสนิยมหนังฟอร์มยักษ์หลายเรื่องจาก Hollywood จ่อคิวเข้าฉายเพียบ ประเดิม Godzilla vs Kong ดันรายได้ 19.5 ล้านบาทหลังเข้าฉายเพียงวันแรก พร้อมเตรียมหนังฟอร์มยักษ์เข้าคิวฉายต่อเนื่องถึงครึ่งปีหลังดึงดูดผู้ชมมากกว่าปีก่อน
แม้ว่าผลงานในไตรมาส 1/64 ส่อแววขาดทุน แต่เชื่อไตรมาส 2/64 คาดว่าจะพลิกมีกำไรเมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 2/63 ขาดทุน 475 ล้านบาท ส่งผลให้ตลอดทั้งปี 64 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ในช่วง 522-882 ล้านบาท จากที่เคยขาดทุนสุทธิ 528 ล้านบาทในปี 63
นอกจากนี้ ราคาหุ้น MAJOR ยัง Laggard โดยราคาฟื้นตัวต่ำกว่ากลุ่มฯ
หุ้น MAJOR ปิดเช้าที่ 23.10 บาท เพิ่มขึ้น 1.30 บาท (+5.96%) ขณะที่ดัชนี SET ปิดเช้าพุ่ง 14.95 จุด
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ซื้อ 24.50 โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 24.00 ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ซื้อ 24.00 เอเชีย พลัส ซื้อ 24.00 ทิสโก้ ซื้อ 23.50
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า มีมุมมองเชิงบวกกับหุ้น MAJOR เนื่องจากคาดว่าจะเป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ผ่อนคลาย ส่งผลให้มีผู้เข้ามาใช้บริการมากขึ้น สอดคล้องกับมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เตรียมเข้าคิวฉายตั้งแต่ปลายเดือน มี.ค.เป็นต้นไป โดยกระแสภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่จาก Hollywood เรื่อง Godzilla vs Kong เข้าฉายวันแรกทำรายได้ 19.5 ล้านบาทเมื่อวันที่ 25 มี.ค.สูงกว่ารายได้ Box office สัปดาห์ก่อนหน้าทั้งสัปดาห์จากภาพยนตร์ทุกเรื่องทำรายได้ Box office ไปแค่เพียง 11 ล้านบาทเท่านั้น ผลักดันรายได้ Box office ภายในเดือน มี.ค.64 (1-25 มี.ค.) อยู่ที่ 64 ล้านบาทสูงขึ้น 1.5 เท่าตัวจากเดือน ก.พ.64 และ 1 เท่าตัวจากเดือน มี.ค.63 แนวโน้มภาพรวมไตรมาส 2/64 มีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่เริ่มกลับมาเข้าฉายอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่ Godzilla vs Kong เริ่มวันที่ 25 มี.ค. / Mortal Combat เริ่มวันที่ 8 เม.ย. / Soebok เริ่มวันที่ 15 เม.ย. / Fast 9 เริ่มวันที่ 24 มิ.ย. / Top Gun เริ่มวันที่ 1 ก.ค. / Black widow เริ่มวันที่ 9 ก.ค. / Jungle Cruise เริ่มวันที่ 28 ก.ค. / Luca เริ่มวันที่ 12 ส.ค. / Shang-chi เริ่มวันที่ 2 ก.ย. เป็นต้น ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯได้เบื้องต้นผลประกอบการไตรมาส 2/64 คาดวจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 114 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดไตรมาส2/63 ขาดทุน 475 ล้านบาท ส่งผลให้ตลอดทั้งปี 64 บริษัทมีกำไรสุทธิ 522 ล้านบาท พลิกจากที่เคยขาดทุนสุทธิ 528 ล้านบาทในปี 63
"จากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มผ่อนคลาย เราเริ่มมองเห็นความน่าสนใจของ MAJOR แม้ว่าไตรมาส 1/64 อาจจะยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน แต่ในไตรมาส 2/64 จะกลับมาเติบโตโดดเด่น ขณะที่ราคาหุ้น MAJOR เข้าข่าย Laggard ราคาฟื้นตัวต่ำกว่ากลุ่มฯที่ราคาหุ้นฟื้นสูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ไปแล้ว"นายกรภัทร กล่าว
ด้านบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า ล่าสุดปรับคำแนะนำจาก "Trading buy" เป็น "ซื้อ" พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายจาก 21 บาท เป็น 24.50 บาท ตามทิศทางการฟื้นตัวของผลประกอบการจากสัญญาณตอบรับที่ดีจากการกลับมาฉายของภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ตั้งแต่ปลายเดือน มี.ค. และจะมีภาพยนตร์เข้าฉายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าผลประกอบการของ MAJOR จะต่ำสุดของปีในไตรมาส 1/64 ก่อนจะพลิกเป็นกำไรตั้งแต่ไตรมาส 2/64 และเติบโตดียิ่งขึ้นในไตรมาส 3/64
"คาดว่าผลประกอบการไตรมาสแรกจะขาดทุนค่อนข้างมากจากการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ และแทบไม่มีหนังใหม่เข้าฉาย แต่เราเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกจากหนัง Godzilla vs Kong เข้าฉาย 25 มี.ค. ได้รับการตอบรับดีมาก ทำรายได้ไปแล้วกว่า 150 ล้านบาท เฉพาะในเครือ MAJOR เราคาดว่า MAJOR จะพลิกเป็นกำไรตั้งแต่ไตรมาส 2/64 เป็นต้นไป"
ส่วนภาพรวมครึ่งปีหลังคาดว่าผลประกอบการมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีขึ้นในไตรมาส 3/64 จากภาพยนตร์ Hollywood เข้าฉายหลายเรื่อง เช่น Black Widow, Top Gun 2, The Suicide Squad 2, Jungle Cruise และ Venom ส่วนในไตรมาส 4/64 ก็มีหนังฉายจำนวนมาก ได้แก่ The Eternals, Spider-Man 3, MI 7, No Time to Die, The Matrix 4 และ The King?s Man อีกทั้งหนังไทยเข้าฉายในครึ่งปีหลังอีก 25-30 เรื่อง รวมถึงหนังของ GDH 3 เรื่อง เช่น บุพเพสันนิวาส 2 เป็นต้น
ส่วนบล.ยูโอบีเคย์เฮียน ระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการของ MAJOR จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ไตรมาส 2/64 เป็นต้นไปเนื่องจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ผ่อนคลายลงและภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์หลายเรื่องเข้าฉาย เบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯเชื่อว่าผลประกอบการปี64 จะพลิกกลับมากำไรจากการขาดทุนสุทธิจำนวนมากในปี 63 ล่าสุดได้ปรับประมาณการกำไรปี 64 ขึ้น 29% เนื่องจากผลประกอบการไตรมาส4/63 สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
สำหรับบล.ทิสโก้ ระบุว่า ได้ปรับประมาณการปี 64-65 เพิ่มขึ้นจากเดิม 20% และ 21% เป็นกำไรสุทธิที่ 882 ล้านบาท และ 1,231 ล้านบาท เติบโต 40% YoY จากการปรับโครงสร้างต้นทุนและค่าใช้จ่ายลดจำนวนพนักงานและใช้เทคโนโลยีทดแทนมากขึ้น รวมถึงต้นทุนในการผลิตหนังที่ลดลงและการเจรจาต่อรองค่าเช่า
ทั้งนี้ คาดรายได้ปี 64-65 อยู่ที่ 7,450 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 98%YoY และ 9,405 เพิ่มขึ้น 26% YoY ตามลำดับ จากคาดสถานการณ์โควิด-19 เริ่มผ่อนคลาย คาดและคาดว่าหนัง Hollywood หลายเรื่องจะกลับมาฉายได้ และคาดรายได้จากการจำหน่ายอาหารทานเล่นป็อปคอร์น รายได้จากการโฆษณาจะเริ่มกลับมาเป็นปกติตามรายได้หนังที่คาดเพิ่มขึ้น