นายศุภศิษฎ์ โภคินจารุรัศมิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมตะ คอร์ปอเรชั่น (META) เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในปี 64-65 จะฟื่นตัวต่อเนื่อง หลังจากที่มีผลขาดทุนในปี 63 เนื่องจากบริษัทจะมีรายได้หลักจากงานก่อสร้างโรงไฟฟ้ามินบูเฟส 2-4 ที่มีมูลค่างานในมือ (backlog) ที่เหลืออยู่ราว 170 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 6.3 พันล้านบาท
แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้จะยังไม่สามารถส่งอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าไปในเมียนมาได้ เนื่องจากมีเหตุการณ์ความไม่สงบในเมมียนมา แต่เชื่อว่าตั้งไตรมาส 2/64 การก่อสร้างน่าจะเดินหน้าต่อไปได้ ณะที่การรับรู้รายได้จากการถือหุ้นในโรงไฟฟ้ามินบู ในรูปแบบของค่าไฟฟ้ายังคงเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รัฐประหารในเมียนมาแต่อย่างใด
ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 64 การดำเนินการผลิตของโครงการมินบูยังคงเป็นไปตามเกณฑ์ที่ 79% เช่นเดียวกับกำลังการผลิตที่ยังคงตามเป้าหมายที่ 80-90% โดยในช่วงเฟส 2-4 มีการดำเนินงานทั้งการสำรวจ ออกแบบกราวด์เวิร์ค สแกนภาพสามมิติ และวัดพื้นที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่กำลังจะดำเนินงานต่อไปคือการนำข้อมูลที่ได้จากการสำรวจมาเริ่มต้นในการออกแบบ
ส่วนการลงทุนประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล (Biomass) ที่กำลังดำเนินการอยู่ทั้งหมด 3 โครงการได้แก่ โครงการที่ซากะ กำลังการผลิตรวม 50 เมกกะวัตต์ และ 25 เมกะวัตต์ และโครงการที่วากะยามะที่มีกำลังการผลิตรวม 25 เมกกะวัตต์
"ธุรกิจพลังงานอื่นๆ เช่น ที่ประเทศญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยที่ญี่ปุ่นเราทำธุรกิจพลังงานทางเลือก พลังงานชีวมวล ขนาด 100 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าโซล่าร์ที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งมีพันธมิตรอย่าง M2DC มาร่วมพัฒนาโครงการด้วย ทั้งสองแห่งดำเนินการไปได้ตามแผนที่วางไว้"นายศุภศิษฏ์ กล่าว
สำหรับกลยุทธ์สำคัญในปีนี้ บริษัทจะเน้นการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย ยังไม่มีการลงทุนเพิ่มเติม และให้ความสำคัญกับ backlog ที่เมียนมา ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ยังคงให้ความสนใจการพัฒนาโครงการในประเทศด้วยเช่นเดียวกัน และให้ความสำคัญการบริหารกระแสเงินสดของบริษัทผ่านเครื่องมือทางการเงิน เช่น หุ้นกู้ เป็นต้น ซึ่งในการลงทุนไม่ปิดกั้น แต่มองภาพรวมสถานการณ์โลกและประเทศเป็นหลัก บวกกับสถานการณ์การเงินของบริษัท ไม่อยากให้เกิดวิกฤตการณ์การเงินเพิ่มเติม