นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้จัดตั้งกองทุนน้องใหม่ชื่อ กองทุนเปิดเค เอเชีย เทคโนโลยี หุ้นทุน (K-ATECH) ที่มีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Pacific Technology - Class C (acc) - USD เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั่วเอเชียครอบคลุมทั้งจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ใน 5 ธีมหลักที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต ได้แก่ 1) ธุรกิจอีคอมเมิร์ชและสื่อออนไลน์ 2) ธุรกิจเกมออนไลน์ 3) ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ 4) ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนสมาร์ทโฟน และ 5) ธุรกิจหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ทั้งนี้ มีกำหนดเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ในระหว่างวันที่ 1-7 เมษายน 2564
นายนาวิน กล่าวต่อไปว่า ความน่าสนใจของหุ้นเทคโนโลยีเอเชียอยู่ที่ การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งสะท้อนได้จากจำนวนสิทธิบัตรในจีนและญี่ปุ่นรวมกันแซงหน้าสหรัฐฯ ถึง 3 เท่า หรือ คิดเป็นสัดส่วน 40-50% ของจำนวนทั้งหมดในโลก และหุ้นเทคเอเชียยังมีมูลค่าที่ถูกกว่าหุ้นเทคสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก
ขณะที่มีอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงกว่า โดยจากการจัดอันดับ Top 10 หุ้นเทคที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) สูงที่สุด พบว่ามีบริษัทเอเชียติดอันดับอยู่ถึง 4 บริษัท ได้แก่ Tencent, Alibaba, Samsung และ TSMC ทำให้บริษัทที่มุ่งพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต
ผู้จัดการกองทุนหลักมีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และคาดการณ์เทรนด์เทคโนโลยีที่กำลังจะมาถึงในอนาคต โดยนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อปี พ.ศ. 2540 กองทุนหลักได้คัดสรรหุ้นเทคที่มีความน่าสนใจก่อนที่จะได้รับความนิยมและกลายมาเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกไม่ว่าจะเป็น TSMC, Keyence, Tencent และ Alibaba นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างผลการดำเนินงานได้อย่างโดดเด่นติดอันดับ 1 ใน 10 จากกองทุนหุ้นเทคทั้งหมด 221 กองทุนทั่วโลก โดยมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 97.46%
อย่างไรก็ดี กองทุน K-ATECH เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทเทคที่มีผู้ใช้งานทั่วโลกไม่เฉพะแต่คนเอเชีย อาทิ Sumsung บริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, Nintendo ผู้คิดค้นเกม Mario และผู้ผลิต Game Boy รวมถึง Nintendo Switch, SEA เจ้าของเกม ROV, Shopee และ Shopeepay, TSMC บริษัทผลิตชิปรายใหญ่ของโลก และ Bilibili บริษัทสตรีมมิ่งเกมส์และวิดีโอ
"ในช่วงที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีการปรับตัวลดลงจากความกังวลต่อการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่ง บลจ.กสิกรไทย มองว่าเป็นเพียงปัจจัยกดดันในระยะสั้น โดยหุ้นกลุ่มดังล่าวยังคงมีปัจจัยสนับสนุนต่อการเข้าลงทุนที่ไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ดี ในขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลงถือเป็นจังหวะให้ทยอยเข้าลงทุนเพื่อโอกาสทำกำไรในระยะยาว"นายนาวินกล่าว