นายศิต ตันศิริ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท เซจแคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ของบมจ.ดิทโต้ (ประเทศไทย) (DITTO) กล่าวว่า บริษัทเตรียมเดินหน้าระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) หลังจากสำนักงานคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุมัติคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 80 ล้านหุ้น คิดเป็น 18.18% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อนำเงินจากการระดมทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
โดยจุดเด่นของ DITTO อยู่ในธุรกิจที่กำลังเติบโตไปกับ New Economy โดยมีธุรกิจจำหน่ายและให้บริการระบบบริหารจัดการเอกสารแก่ลูกค้าองค์กร ทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่สร้างรายได้หลักแก่บริษัทฯ ซึ่งธุรกิจดังกล่าวไม่เพียงแค่ให้บริการแปลงเอกสารกระดาษ สู่เอกสารดิจิทัลเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงการใช้ความเชี่ยวชาญจัดทำระบบข้อมูลให้แต่ละองค์กรสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จึงช่วยลดต้นทุนด้านการจัดเก็บเอกสาร เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการค้นหาและนำข้อมูลไปใช้งาน ตอบโจทย์องค์กรที่ต้องการก้าวเข้าสู่ Digital Transformation นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานระหว่างหน่วยงานผ่านการทำงานบนระบบ Cloud Computing ตอบโจทย์นโยบายการทำงานแบบ WFH (Work From Home) ของแต่ละองค์กรอีกด้วย
นายฐกร รัตนกมลพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DITTO เปิดเผยว่า บริษัทได้วางกลยุทธ์การเติบโตในส่วนธุรกิจจำหน่ายและให้บริการระบบบริหารจัดการเอกสาร และธุรกิจให้เช่า จำหน่าย และให้บริการด้านเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์ และสินค้าเทคโนโลยีอื่นๆนั้น จะมุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า พร้อมนำเสนอบริการที่มีคุณภาพ ส่วนธุรกิจรับเหมาโครงการวิศวกรรมด้านเทคโนโลยีสำหรับโครงการของหน่วยงานราชการต่างๆ จะมุ่งเน้นคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการ อาศัยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของบุคลากรด้านวิศวกรรม การนำเสนอเทคโนโลยีที่ทันสมัย ผลงานในอดีตที่ผ่านมาและความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน
จากวิสัยทัศน์องค์กรที่เป็นผู้นำการให้บริการระบบจัดการเอกสารแบบครบวงจรเพื่อตอบรับสังคมที่ก้าวเข้าสู่ Digital Transformation โดยธุรกิจปัจจุบันของบริษัท แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจจำหน่ายและให้บริการระบบบริหารจัดการเอกสาร ประกอบด้วย การให้บริการบริหารจัดการระบบงาน (Business Process Outsourcing หรือ BPO) โดยมุ่งเน้นการให้บริการบริหารจัดการเอกสารและข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล เช่น การแปลงข้อมูลจากเอกสารกระดาษเป็นข้อมูลดิจิทัล (Document Digitization) การจัดทำสารบัญข้อมูลให้ง่ายต่อการค้นหา (Document Indexing) และนำข้อมูลจัดเก็บไว้ในระบบบริหารจัดการเอกสาร (Document Management Systems) หรือจัดเก็บในระบบจัดการข้อมูลองค์กร (Enterprise Content Management หรือ ECM)
อีกทั้งยังสามารถนำเอกสารหรือข้อมูลดังกล่าวไปดำเนินการตามกระบวนการทำงาน (Workflow) ที่ผู้ใช้กำหนด เป็นต้น การจำหน่ายระบบบริหารจัดการเอกสาร อาทิ ซอฟท์แวร์ระบบจัดเก็บเอกสารในรูปแบบดิจิทัล ซอฟท์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลสถิติ (Data Analytic Systems) และซอฟท์แวร์ความมั่นคงและปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) ฯลฯ และงานโครงการระบบบริหารจัดการเอกสาร โดยบริษัทฯเป็นผู้ออกแบบและพัฒนาโปรแกรมบริหารจัดการเอกสารและข้อมูลด้วยระบบเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบครบวงจร ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดเก็บ ค้นหา และวิเคราะห์ข้อมูล เพิ่มศักยภาพการทำงานภายในองค์กร และลดต้นทุนการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบกระดาษ
2. ธุรกิจให้เช่า จำหน่าย และให้บริการด้านเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์ และสินค้าเทคโนโลยีอื่นๆ ประกอบด้วย บริการให้เช่าและบำรุงรักษาเครื่องถ่ายเอกสารแก่หน่วยงานราชการและเอกชน จำหน่ายเครื่องถ่ายเอกสารและเครื่องพิมพ์ หมึกพิมพ์ กระดาษและอะไหล่ ให้บริการบำรุงรักษาเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์และบริการอื่นๆ รวมถึงจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาทิ จอ LED อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย ฯลฯ นอกจากนี้ในปี 2561 บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์และระบบไดร์ฟทรูของแบรนด์ HME ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ชั้นนำของโลก และขยายธุรกิจไปยังระบบจำหน่ายสินค้าหน้าร้าน (Point of Sales หรือ POS)
3. ธุรกิจรับเหมาโครงการวิศวกรรมด้านเทคโนโลยีสำหรับโครงการของหน่วยงานราชการต่างๆ โดยมุ่งเน้นในโครงการที่มีเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม (Innovation) และเป็นเทคโนโลยีเฉพาะทาง ได้แก่ งานระบบท้องฟ้าจำลองและพิพิธภัณฑ์ ระบบโทรมาตรหรือ SCADA เช่น ระบบตรวจวัดสภาพน้ำทางไกลอัตโนมัติ เป็นต้น งานระบบเทคโนโลยีภายในอาคาร และงานรับเหมาโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยี เช่น โครงการก่อสร้างระบบการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง RDF (Refuse Derived Fuel) และปุ๋ยอินทรีย์แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ซึ่งครอบคลุมการจัดหาผลิตภัณฑ์และการบริการตามความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร
ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 63 สามารถเติบโตได้ดีแม้ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัว โดยบริษัทมีรายได้รวม 988.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.50% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 775.06 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 114.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 102.95% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 56.27 ล้านบาท เนื่องจากได้รับงานบริการระบบบริหารจัดการเอกสารแก่ลูกค้าหน่วยงานราชการเพิ่มเติม และมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจำหน่ายสินค้าเทคโนโลยีและสินค้าอื่นๆ