นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา (TNITY) เปิดเผยว่า แผนงานของบริษัทในปี 64 ยังคงมุ่งเน้นการให้บริการกับลูกค้าที่ดีและมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง และมองหาโอกาสในการนำเสนอทางเลือกในการลงทุนให้กับลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในต่างประเทศที่จะทำให้ลูกค้าสามารถกระจายสัดส่วนการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่อยู่ในต่างประเทศและสร้างผลตอบปแทนให้กับลูกค้าได้มากขึ้น
โดยในส่วนของธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Brokerage) ในปี 64 ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาด (Market Share) เป็น 1.15% จากสิ้นปีก่อนที่ 1.05% ซึ่งจะเน้นไปที่การหาบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากขึ้น รวมถึงการเผยแพร่บทวิเคราะห์และการนำเสนอข่าวสารและแนะนำการลงทุนให้กับลงทุนผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อทำให้ลูกค้าพึงพอใจในการใช้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทอย่างต่อเนื่อง และแนะนำคนรู้จักมาใช้บริการ
ขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวาณิชธนกิจและการให้คำปรึกษานั้นยังมีดีลที่อยู่ใน Pipeline ของบริษัทที่ดำเนินการอยู่พอสมควร อย่างเช่น ดีลการนำบริษัทเสนอขาย IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักรัพย์ฯทั้ง SET และ mai ในปี 64 มีอยู่ 7-9 ดีล ในกลุ่มธุรกิจพลังงาน เทคโนโลยีการสื่อสาร โลจิสติกส์ อาหาร และบันเทิง ที่อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม อีกทั้งยังมีการให้คำปรึกษาในการควบรวมกิจการ (M&A) และการร่วมทุนของบริษัทต่างๆ 4-5 ดีล และการนำเสนอขายหุ้นกู้เอกชนของธุรกิจสื่อสาร พลังงานทดแทน การเงิน และอสังหาริมทรัพย์ รวม 4-5 ดีล
นอกจากนี้ธุรกิจการบริหารจัดการสินทรัพย์ให้กับลูกค้าของบริษัทนั้นยังมีการเติบโตมาต่อเนื่อง ซึ่งในปี 64 บริษัทตั้งเป้ามีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) เพิ่มเป็น 5 พันล้านบาท โดยที่จะมีการออกกองทุนรวมแบบปิดที่จะมานำเสนอให้กับลูกค้าเพิ่มเติม โดยเฉพาะกองทุนที่ลงทุนในบริษัทที่จะเป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงในอนาคตซึ่งเป็นการลงทุนในต่างประเทศ โดยในปีก่อนบริษัทได้ออกกองทุนรวมแบบปิด Asia Ex Japan ซึ่งไดก้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้าได้สูงถึง 60% ทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมันในการบริหารจัดการด้านการลงทุนของบริษัทมากขึ้น
สำหรับในปี 64 บริษัทมองว่าการลงทุนนั้นยังจำเป็นต้องคำนึงถึงการกระจายสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม (Asset Allocation) เพื่อเป็นการกระจายความเสี่นงในพอร์ตการลงทุนของลูกค้า โดยเฉพาะการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง อย่างเช่น การลงทุนในตลาดหุ้นที่ปัจจุบันมีความผันผวนค่อนข้างมาก และการลงทุนเพียงตลาดหุ้นไทยอย่างเดียวสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในกรอบจำกัด และแทบไม่มีธุรกิจใหม่ที่เป็นธุรกิจในการสร้างการเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในอนาคตที่จะเข้ามาเป็นตัวเลือกให้กับนักลงทุนได้เหมือนกับการลงทุนในต่างประเทศ ที่ปัจจุบันมีธุรกิจใหม่ๆที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆของโลกในอนาคตให้ลงทุนหลากหลาย และสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
โดยที่การลงทุนในตลาดหุ้นปัจจุบันมองว่ายังมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนได้ดีอยู่ แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่อง แต่ยังไม่เกินระดับ 2% ยังมองว่านักลงทุนสามารถลงทุนในตลาดหุ้นในสัดส่วนที่มากกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆได้ โดยเน้นจัดสรรการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศในสัดส่วนที่ 70% และตลาดหุ้นไทย 30% โดยที่กลุ่มธุรกิจที่บริษัทมองว่าจะเป็นโอกาสในการลงทุนในอนาคตเป็นกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแร่หายาก และกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีการแพทย์ ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต
นอกจากนี้การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงและมีความผันผวนมาก บริษัทยังมองว่านักลงทุนยังสามารถแบ่งเงินลงทุนราว 1-5% มาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้ เพื่อสร้างโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้นในความเสี่ยงที่สูงกว่าตลาดหุ้น แม้ว่าราคาสินทรัพย์ดิจิทัลในปัจจุบันจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะ Bitcoin ที่เริ่มมีนักลงทุนสถาบันและบริษัทในต่างประเทศเข้ามาถือครองมากขึ้น ส่งผลให้ราคามีการปรับตัวขึ้นสูง แต่ยังสามารถมองหาจังหวะในการลงทุนได้ในบางช่วงในระยะสั้น แต่ในระยะยาวมองว่ายังมีความเสี่ยงในเรื่องของการออกสกุลเงินดิจิทัลจากธนาคารกลางต่างๆในโลกที่จะเข้ามากระทบดีมานด์และซัพพลายของ Bitcoin ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตามในเรื่องของการให้ความรู้ในสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นบริษัทได้ร่วมกับ Bitkub และ Satang ในการจัดทำและให้ข้อมูลข่าวสารต่างๆเกี่ยวสินทรัพย์ดิจิทัลในปัจจุบัน เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจในการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลให้กับนักลงทุน เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆในการลงทุน และบริษัทยังมองถึงการยื่นขอใบอนุญาตกับทางก.ล.ต.ในการเป็นผู้แนะนำการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งจะเป็นโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มเข้ามาให้กับบริษัทในอนาคต
ขณะที่สินทรัพย์ทางเลือกอีกประเภทที่บริษัทมองว่ามีความน่าสนใจในการเข้าลงทุนในปี 64 เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITS) ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมาราคาได้ปรับตัวลงไปลึกมาก และเริ่มเป็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสม เพื่อการสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอจากเงินปันผลที่ดีในพอร์ตของนักลงทุน หลังจากที่โควิด-19 ในต่างประเทศเริ่มมีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง และมีผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆเริ่มกลับมา และส่งผลให้สินทรัพย์ที่กองรีทถือครองกลับมาสร้างผลตอบแทนได้มากขึ้นตามลำดับ จึงมองว่าเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจเข้าลงทุนในปีนี้