โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) หลังมองแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/64 จะสามารถทำกำไรเติบโตดีขึ้น 27%-36%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่ดีขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้นตามลำดับทั้งในไทยและต่างประเทศ ประกอบกับได้รับปัจจัยบวกจากเงินบาทอ่อนค่าส่งผลให้มาร์จิ้นของธุรกิจปรับตัวเพิ่มขึ้นแม้ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนแต่ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ยังคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของ Red Lobster ที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการปิดเมืองในปีก่อน หลังสหรัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ประกอบกับปกติไตรมาส 1 เป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของ Red Lobster ทั้งยังมีการปรับโครงสร้างภายใน ทำให้เชื่อว่าคาดว่าส่วนแบ่งขาดทุนจะลดลงอย่างมากและผลการดำเนินงานจะดีขึ้นตามลำดับ
ราคา TU ปิดเที่ยง อยู่ที่ 14.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ดัชนี SET ลดลง 1.11%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) คิงส์ฟอร์ด ซื้อ 19.30 ทิสโก้ ซื้อ 19.00 ฟิลลิป (ประเทศไทย) ซื้อ 20.00 ทรีนีตี้ ซื้อ 18.40 เอเชีย เวลท์ ซื้อ 19.00 เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ซื้อเก็งกำไร 16.50
นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 1/64 คาดว่าจะอยู่ที่ 1,293 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 27% ลดลง 11% จากไตรมาส 4/63 จากยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปดีขึ้นแต่ยังเติบโตในอัตราที่ลดลง เนื่องจากในช่วงต้นปี 63 เกิดภาวะ Panic buy อาหารกระป๋องเพื่อกักตุนอาหารในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
ส่วนยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ขณะที่ยอดขายธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น ไตรมาส 1/64 จะอยู่ที่ 17% แม้ลดลงจากไตรมาส 4/63 ที่ 18% แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มที่ดีจากสัดส่วนยอดขายที่เปลี่ยนไป ส่วนอัตราค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อยอดขายคาดว่าจะอยู่ในระดับทรงตัวที่ 11.4%
ขณะเดียวกันคาดผลประกอบการ Red Lobster ฟื้นตัวตามปัจจัยฤดูกาล โดยปกติไตรมาส 1 เป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของ Red Lobster รวมถึงการกระจายวัคซีนในสหรัฐเป็นปัจจัยหนุนธุรกิจนอกจากนี้ส่วนของร้านอาหารนั่งทานกลับมาเปิดราว 96% แล้ว โดยมองว่าไตรมาสที่ 1/64 ในแง่ของการรับรู้รายได้จะดีขึ้น แม้ธุรกิจจะยังมีผลขาดทุนอยู่เมื่อเทียบกับปีก่อน
"เชื่อว่ากำไรของ TU จะสามารถ Turn around ได้ แม้ยังเห็นไม่ค่อยชัดเจนเมื่อมองเป็นรายไตรมาสเนื่องจากเป็นธุรกิจที่อิงกับ Seasonal แต่ภาพรวมทั้งปี 64 ยังมีมุมมองที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะสหรัฐที่สถานการณ์โควิดฟื้นตัวได้ดีถ้าเทียบกับยุโรปและเอเชีย" นายเบญจพล กล่าว
ด้านนางสาวนารี อภิเศวตกานต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการงบไตรมาส 1/64 คาดว่าจะดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จากปัจจัยบวกหลักคือยอดขายของแต่ละธุรกิจเติบโตได้ดีส่งผลให้มาร์จิ้นของธุรกิจ Ambient และ Pet Care ดีขึ้น ประกอบกับได้รับอานิสงส์จากเงินบาทอ่อนค่าลงด้วย ทำให้คาดว่าจะสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ที่ 17% ลดลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อยที่ 18% ทั้งนี้ยอดขายที่เพิ่มขึ้นมาจากการคลายล็อกดาวน์ทั้งในไทยและต่างประเทศ
ขณะเดียวกันคาดว่าการดำเนินงานจาก Red Lobster จะดีขึ้นเนื่องจากปกติไตรมาส 1 จะเป็นไตรมาสที่การดำเนินงานดีที่สุดของปี ประกอบกับสหรัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ โดยมีการกลับมาเปิดร้านแล้ว 99% มีการทานในร้านราว 96% รวมถึงการปรับโครงสร้างภายในจะทำให้ผลการดำเนินงานจะดีขึ้นตามลำดับ
นอกจากนี้ยังคาดว่าช่วงที่เหลือของปีจะสามารถฟื้นตัวได้ตามลำดับ จากปัจจัยของค่าเงินบาทอ่อนตัว ประกอบกับจะเห็นสินค้าใหม่ ๆ ทั้งที่ผลิตเองและร่วมมือกับผู้ร่วมทุนอื่น ๆ ทยอยออกมา รวมถึงแผนการเข้าตลาดของไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ (TFM) ที่จะช่วยทำให้บริษัทรับรู้กำไรจากการขายหุ้นดังกล่าวและหนุนให้กำไรเพิ่มขึ้น
ด้านบทวิเคราะห์บล.ทรีนีตี้ ระบุไปในทิศทางเดียวกันว่า คาดกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1/64 ที่ 1,380 ล้านบาท อ่อนตัว 5% จากไตรมาสก่อน แต่เติบโต 36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดรายได้อาจอ่อนตัวลงราว 5% จากไตรมาส 4/63 เนื่องจากเป็น Low Season ของธุรกิจ แต่คาดรายได้จากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งจะปรับตัวดีขึ้นหลังมีการเปิดเมืองในหลายประเทศ
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดลดลงเหลือ 16.9% จาก 18.0% ในไตรมาสก่อน ทั้งนี้เนื่องจากสัดส่วนรายได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยยอดขายอาหารทะเลกระป๋องที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงอาจอ่อนตัวลง แต่ยอดขายอาหารทะเลแช่แข็งที่เพิ่มขึ้นมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่า ด้านส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมคาดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 142 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนขาดทุน 189 ล้านบาท โดยธุรกิจของ Red Lobster ฟื้นตัว หลังมีการเปิดให้บริการสาขา บวกกับเป็น High Season ของธุรกิจ ทำให้ส่วนแบ่งขาดทุนจาก Red Lobster ลดลง ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจาก Avanti Feed เพิ่มขึ้นจากการเข้า High Season ของธุรกิจเช่นกัน
สำหรับแนวโน้มในปี 64 คาดว่าภาพรวมกำไรจะอยู่ที่ 6,683 ล้านบาท เติบโต 7% จากปีก่อน โดยธุรกิจอาหารทะเลกระป๋องอาจอ่อนตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากยอดขายในปี 63 อยู่ในระดับสูงหลังมีการปิดเมืองในหลายประเทศ อย่างไรก็ตามยอดขายอาหารทะเลแช่แข็งจะฟื้นตัวหลังจากในปี 63 ธุรกิจชะงักตามการปิดโรงแรมและร้านอาหาร ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอาจอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ราว 17% จาก 17.7% ในปี 63 แต่ยังเป็นระดับที่สูง เนื่องจากผลิตภัณฑ์อาหารทะเลกระป๋องมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า นอกจากนี้ยังคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของ Red Lobster ที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการปิดเมืองในปี 63 ซึ่งภายหลังการกลับมาเปิดให้บริการคาดว่าส่วนแบ่งขาดทุนจะลดลงอย่างมาก