บมจ. แอสเซทไวส์ (ASW) เคาะราคาขาย IPO หุ้นละ 9.82 บาท เตรียมเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 19 - 21 เม.ย.นี้ และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) วันที่ 28 เม.ย.นี้
นางยอดฤดี สันตติกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ หัวหน้าสายงานตลาดทุน บล.เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญของ ASW เปิดเผยว่า บริษัทได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 206 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท ในราคาหุ้นละ 9.82 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 8.54 เท่า (Post-IPO Dilution) ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 19-21 เม.ย. 64 และคาดว่าสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 28 เม.ย. 64 ซึ่งจะเข้าเทรดในหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
โดยระดับราคา IPO ที่ 9.82 บาท/หุ้น ถือเป็นระดับราคาที่บริษัทได้ทำการสำรวจกับนักลงทุนสถาบันในช่วงการเดินสายให้ข้อมูลกับนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม และสอดคล้องกับศักยภาพพื้นฐานของบมจ.แอสเซทไวส์ และถือเป็นราคาที่ให้ส่วนลดมากถึง 23% โดยที่ราคา IPO ที่กำหนดเสนอขายในครั้งนี้มีระดับ P/E ที่ถือ 8.54 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมในกลุ่มของบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 11 เท่า ขณะที่การจัดสรรสัดส่วนการกระจาย IPO ของบมจ.แอสเซทไวส์ แบ่งเป็น การจัดสรรสัดส่วนให้กับนักลงทุนรายย่อย 65% ผู้มีอุปการะคุณ สัดส่วน 25% และนักลงทุนสถาบัน 10%
นางยอดฤดี กล่าวว่า จากการเดินสายให้ข้อมูลในช่วงที่ผ่านมา ถือว่านักลงทุนต่างๆให้การตอบรับที่ดีกับบมจ.แอสเซทไวส์ ดีเกินกว่าที่บริษัทคาดไว้ โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันที่มีความสนใจเป็นอย่างมาก และมีการจองจากนักลงทุนสถาบันเข้ามาเกินกว่ากว่ายอดที่จัดสรรไปราว 6 เท่า จากนักลงทุนสถาบันที่มีการจองเข้ามาทั้งหมด 6 ราย สะท้อนภาพของความมั่นใจในศักยภาพของบมจ.แอสเซทไวส์ ในสายตาของนักลงทุนสถาบันเป็นอย่างมาก และคาดว่านักลงทุนรายย่อยจะให้การตอบรับการจองซื้อ IPO ของบมจ.แอสเซทไวส์ เช่นเดียวกัน "จากที่ไปโรดโชว์มา นักลงทุนมีความเข้าใจธุรกิจและทราบถึงแนวโน้มการดำเนินงานในอนาคต ซึ่งมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันที่สนใจมาก จะเห็นได้จากนักลงทุนสถาบันได้ bookbuild เกินยอดที่จัดสรรไปประมาณ 6 เท่า"นางยอดฤดี กล่าว
นอกจากนี้ความน่าสนใจของบมจ.แอสเซทไวส์ ยังเป็นเรื่องความสามารถในการพัฒนาโครงการที่ตรงความต้องการลูกค้า มีความโดดเด่นในด้านทำเลที่ตั้ง มีแบรนด์ที่มีลักษณะเฉพาะตัวเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรสูง เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงกว่า 40% และสูงกว่าผู้ประกอบการรายอื่นที่ทำได้กว่า 20% จากการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ประสบการณ์การดำเนินธุรกิจมายาวนาน แม้ว่าปัจจุบันจะมีสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศเกิดขึ้นมาต่อเนื่อง แต่มั่นใจว่าบริษัทสามารถฟันฝ่าอุปสรรคและปัจจัยกดดันในครั้งนี้ไปได้ จากที่ผ่านมาได้ผ่านวิกฤติอุปสรรคที่กระทบต่อธุรกิจมาแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้บมจ.แอสเซทไวส์ มีพื้นฐานธุรกิจที่มั่นคง และก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆมาได้อย่างดี
"เชื่อมั่นว่าบมจ.แอสเซทไวส์ จะเป็นหุ้นที่สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ลงทุน และมั่นใจได้ว่าพื้นฐานของบริษัทแข็งแกร่ง แม้ว่าจะมีอุปสรรคเข้ามา ก็ยังสามารถผ่านไปได้ และเติบโตได้ต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งจาก Backlog ของบริษัทที่รอโอนกว่า 7.8 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ ไปจนถึงปี 66"นางยอดฤดี กล่าว
ขณะเดียวกันนักลงทุนสามารถมั่นใจได้ว่าบริษัทสามารถสร้างศักยภาพในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเติบโตจากธุรกิจของบริษัทเอง ซึ่งยังมีการพัฒนาโครงการต่อเนื่อง และโครงการที่บริษัทพัฒนาส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่จับต้องได้ ซึ่งเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อในระดับหนึ่ง และเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีฐานใหญ่ มีความต้องการในการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่อาศัยจริงเป็นจำนวนมาก อีกทั้งโครงการในระดับราคาที่จับต้องได้ที่บริษัทพัฒนาเป็นโครงการที่สามารถสร้างอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับที่สูง ประกอบกับการบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี ส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่โดดเด่นของบริษัท ในภาวะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่บริษัทยังมีการทำผลงานที่เติบโตขึ้น และมุ่งมั่นในการผลักดันผลงานให้เติบโตขึ้นต่อเนื่อง
"หลังการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ต้นทุนทางการเงินลดลง ยกระดับชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับประเทศ เพิ่มโอกาสการเติบโตในอนาคต และมั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนในระยะยาวอย่างต่อเนื่องได้ เป็นหนึ่งใน Growth Stock ที่เติบโตจาก Organic Growth และเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว ทำให้ผู้ถือหุ้น ลูกค้า แบงก์ และซัพพลายเออร์ตต่างๆเชื่อมั่นในตัวบริษัท"นายกรมเชษฐ์ กล่าว
ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีโครงการในมือทั้งหมด 33 โครงการ มูลค่า 3.04 หมื่นล้านบาท และยังมีโครงการในอนาคต ที่อยู่ระหว่างพัฒนาจะเปิดขายในอนาคตในช่วง 4-5 ปีข้างหน้าอีก