นางนลินี งามเศรษฐมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไอร่า แคปปิตอล (AIRA) เปิดเผยถึงแผนการทำธุรกิจและการลงทุนว่า ที่ผ่านมาทั้งกลุ่มบริษัทมีการขยายและเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปี 2563 จะเป็นปีแห่งความยากลำบากเนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สะท้อนจากผลประกอบการปี 2563 บริษัทสามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ และด้วยศักยภาพการทำธุรกิจของบริษัทลูกและบริษัทร่วมทุนที่รักษาระดับการเติบโตของรายได้และการขยายตัวเป็นไปตามเป้าหมายเป็นตัวแปรหลักผลักดันผลเชิงบวกต่อเนื่องมาจนถึงผลการดำเนินงานในปี 2564
อย่างไรก็ตาม จากแผนยุทธศาสตร์การสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในเครือตลอดหลายปีที่ผ่านมา บริษัทมองเห็นโอกาสการเติบโตอย่างมั่นคงของบริษัทในเครือ 2 แห่ง โดยเบื้องต้นมีแผนที่จะนำบริษัททั้ง 2 แห่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยภายในปี 2565 ได้แก่ บมจ. ไอร่า แอนด์ ไอฟุล บริษัทร่วมลงทุนกับบริษัท AIFUL Corporation ผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ประกอบธุรกิจสินเชื่อบุคคล บริการบัตรกดเงินสด "A money" และ บมจ. ไอร่า ลีสซิ่ง ประกอบธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งล่าสุด NEC CAPITAL SOLUTIONS LIMITED บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 20%
"แม้ตอนนี้ยังมีการระบาดของโควิด แต่ ไอร่าแอนด์ ไอฟุล สามารถปล่อยสินเชื่อมีรายได้เข้ามา บวกกับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เริ่มมีกำไรตั้งแต่ต้นปี ซึ่งตามแผนที่ฝ่ายบริหารของไอร่า แอนด์ ไอฟุล เสนอสิ้นปีนี้บริษัทจะมีกำไร ปีหน้าก็พร้อมที่จะเข้าตลาดหุ้นได้ เช่นเดียวกับ ไอร่า ลิสซิ่ง มีการขยายสินเชื่อลีสซิ่งสนับสนุน SME มาโดยตลอด" นางนลินี กล่าว
ส่วนแผนขยายการลงทุนทางด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผ่านบริษัท ไอร่า พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทร่วมทุนกับ Kenedix Asia Pte,Ltd. ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบริหารกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น และEugene Investment & Securities Co., Ltd กลุ่มธุรกิจชั้นนำจากประเทศเกาหลีใต้ อยู่ระหว่างการโอนโครงการสำนักงานให้เช่า Spring Tower มูลค่า 2,500 ล้านบาท เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ประเภทอาคารสำนักงานให้เช่า ขณะเดียวกันกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการคลังสินค้า เพื่อนำทรัพย์สินเข้ากอง REIT ประเภทคลังสินค้าด้วย ซึ่งจะส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานของบริษัทแบบก้าวกระโดดอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ไอร่าอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบไอที รองรับการทำธุรกิจและบริการรูปแบบใหม่ๆที่จะทำในอนาคต โดยเฉพาะการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น คริปโทเคอร์เรนซี่ บิทคอยย์ และยังมีการปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์มซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Global Trading) เพื่อเพิ่มศักยภาพและอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ต้องการแสวงหาผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งการพัฒนานี้จะเป็นส่วนช่วยผลักดันศักยภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ และยังมีแผนต่อยอดการทำธุรกิจกับพันธมิตรต่างประเทศ ในธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง Wealth Management และที่ปรึกษาการลงทุน ผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอร่า บริษัทในเครือน้องใหม่ล่าสุด โดยมีลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับบน High Net Worth เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
"เราจะร่วมมือกับพันธมิตรต่างประเทศที่เรามีอยู่ทั่วโลกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง FUCHS & Associés Finance (Suisse) S.A. หรือ ฟุคส์ ผู้นำธุรกิจบริหารความมั่งคั่งทรัพย์สินครอบครัวชั้นนำจากกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งช่วยหนุนการเติบโตในระยะยาว ส่งผลให้ AIRA Group เป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจการเงินของประเทศไทย และพร้อมยกระดับการให้บริการทางการเงินแบบ One stop service ครบวงจรในทุกมิติ เพื่อผลักดันสู่เป้าหมายผู้นำธุรกิจ Non-Bank ชั้นนำ" นางนลินี กล่าว