ตลาดหลักทรัพย์ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,559.53 จุด เพิ่มขึ้น 5.94 จุด (+0.38%) มูลค่าการซื้อขาย 83,672.26 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ โดยดัชนีทำระดับสูงสุด 1,561.52 จุด และระดับต่ำสุด 1,544.10 จุด
ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 636 หลักทรัพย์ ลดลง 1,001 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 425 หลักทรัพย์
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้รีบาวด์ได้ดีในช่วงบ่าย เป็นการปรับขึ้นในลักษณะกระจุกตัวในกลุ่มโรงพยาบาลและกลุ่มเหล็ก เป็นหลัก รวมถึงกลุ่มไฟแนนซ์ที่มาช่วยหนุนด้วย จึงมองเป็นการเกิดเทคนิคเคิลรีบาวด์หลังจากที่ปรับลงไปมากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ มองว่าตลาดฯแกว่งไซด์เวย์ลักษณะสร้างฐานช่วงรอดูสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศหลังจำนวนผู้ติดเชื้อยังสูง ซึ่งยังต้องติดตามการประชุมศูนย์บริการสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ชุดใหญ่ช่วงปลายสัปดาห์ และการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 1/64
ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวก ขณะที่ตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้แกว่งไซด์เวย์ในแดนบวก-ลบในลักษณะนิ่งๆ ในช่วงรอดูผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กลางสัปดาห์นี้
ด้านนายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับขึ้นจาก Sentiment จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดชะลอลง แต่การฟื้นตัวยังมีข้อจำกัดเนื่องจากต้องเฝ้าติดตามตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง และความคืบการจัดหาวัคซีน รวมถึงมาตรการของรัฐบาลที่จะออกมาเยียวยาเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์นี้ด้วย
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ที่ทยอยประกาศออกมา โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเหล็กที่แนวโน้มราคาเหล็กจะสูงขึ้น ซึ่ง Outperform และมีแรงซื้อเข้ามามาก ขณะที่หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลก็เป็นหุ้นที่น่าสนใจในระยะสั้น ตามรายได้ที่จะเพิ่มขึ้น จากโอกาสการจัดหาวัคซีนของภาคเอกชน การฉีดวัคซีน และการตรวจเชื้อโควิด-19 หลังประชาชนตื่นตระหนกต่อการแพร่ระบาดของเชื้อเมื่อผู้ติดเชื้อทวีจำนวนขึ้น อีกทั้ง ยังคงต้องจับตามองงบการเงินในกลุ่มพลังงานที่คาดว่าผลประกอบการน่าจะออกมาดีด้วย
สำหรับหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงเป็นกลุ่มท่องเที่ยวและค้าปลีกที่มีแรงขายออกมาค่อนข้างมาก เนื่องจากการฟื้นตัวของรายได้น่าจะคงชะลอออกไปเรื่อยๆ เพราะประชาชนยังไม่เชื่อมั่นในการกลับมาใช้บริการ รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาได้เนื่องจากไทยยังคงปิดประเทศอยู่
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวก อย่างตลาดหุ้นไต้หวัน, เกาหลี และญี่ปุ่น ตรงกันข้ามกันตลาดในแถบบ้านเราอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียที่ติดลบ ขณะตลาดหุ้นยุโรปยังไม่เคลื่อนไหวมากเท่าไหร่ โดยตลาดต่างประเทศยังคงต้องติดตามสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก, ความคืบหน้าการกระจายวัคซีน และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเช่นเดียวกับบ้านเรา
แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (27 เม.ย.) นายวีระวัฒน์ กล่าวว่า ตลาดฯคงจะแกว่งไซด์เวย์ออกด้านข้าง พร้อมให้แนวรับ 1,545-1,530 จุด ส่วนแนวต้าน 1,565-1,570 จุด
ส่วนนายธนเดช กล่าวว่า ตลาดคงจะเคลื่อนไหวคล้ายคลึงกับวันนี้เหมือนในวันนี้ พร้อมให้แนวรับ 1,545 จุด ส่วนแนวต้าน 1,572 จุด โดยคาดว่านักลงทุนจะใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Selective Buy
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 3,146.64 ล้านบาท ปิดที่ 131.50 บาท ลดลง 0.50 บาท
BFIT มูลค่าการซื้อขาย 2,677.73 ล้านบาท ปิดที่ 49.25 บาท เพิ่มขึ้น 8.25 บาท
BCH มูลค่าการซื้อขาย 2,597.68 ล้านบาท ปิดที่ 19.10 บาท เพิ่มขึ้น 1.40 บาท
SAWAD มูลค่าการซื้อขาย 1,779.24 ล้านบาท ปิดที่ 84.25 บาท เพิ่มขึ้น 2.25 บาท
BDMS มูลค่าการซื้อขาย 1,762.17 ล้านบาท ปิดที่ 22.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท