ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร DTAC ที่ระดับ AA แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 27, 2021 14:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) หรือดีแทค ที่ระดับ "AA" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศที่มีคลื่นครบทุกย่านความถี่ ในการทบทวนอันดับเครดิตดังกล่าว ทริสเรทติ้งยังพิจารณาถึงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เข้มแข็งและสภาพคล่องที่เพียงพอของบริษัทอีกด้วย

นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากบริษัทแม่จากการที่บริษัทเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ต่อธุรกิจของ Telenor ASA (Telenor) ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวก็มีข้อจำกัดบางประการจากการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมการสื่อสารแบบไร้สาย ตลอดจนการลงทุนจำนวนมากที่บริษัทต้องใช้สำหรับชำระค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่และขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างเปราะบางท่ามกลางผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โรคโควิด 19) ที่ยังดำเนินอยู่

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

  • มีคลื่นความถี่เพียงพอสำหรับการให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ บริษัทมีคลื่นความถี่ (Spectrum) และความกว้างของแถบคลื่นความถี่ (Bandwidth) เพียงพอที่จะสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ใช้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัท ปัจจุบัน บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นทั้งหมดมีใบอนุญาตในการใช้คลื่นวิทยุครบทุกย่านความถี่ในการให้บริการสำหรับเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งประกอบด้วย ย่านความถี่ต่ำซึ่งบริษัทมีคลื่นความถี่ขนาด 700 เมกะเฮิรตซ์ (Megahertz - MHz) และ 900 เมกะเฮิรตซ์ (ปัจจุบันทางบริษัทใช้คลื่นความถี่ขนาด 850 เมกะเฮิรตซ์และคาดว่าจะเปลี่ยนมาใช้ คลื่นความถี่ขนาด 900 เมกะเฮิรตซ์ ภายใน 31 ธันวาคม 2564) ส่วนย่านความถี่ปานกลางนั้นบริษัทมีคลื่นความถี่ขนาด 1800 เมกะเฮิรตซ์ ขนาด 2100 เมกะเฮิรตซ์ และขนาด 2300 เมกะเฮิรตซ์ (เป็นพันธมิตรกับบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน)) และย่านความถี่สูงซึ่งบริษัทมีคลื่นความถี่ขนาด 26 กิ๊กกะเฮิรตซ์ (Gigahertz - GHz)

ทริสเรทติ้งคาดว่าใบอนุญาตในการใช้คลื่นความถี่ที่ได้รับมาใหม่จะทำให้ประสิทธิภาพของโครงข่ายและความสามารถในการให้บริการของบริษัทมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งนี้ บริษัทมีกลยุทธ์ที่จะขยายเครือข่ายเทคโนโลยีรุ่นที่ 4 หรือ 4G (Fourth Generation) และ 5 หรือ 5G (Fifth Generation) ไปยังพื้นที่ชนบทและจังหวัดใหญ่ ๆ ในทุกภาคผ่านย่านความถี่ 700 เมกะเฮิรตซ์และพัฒนาเครือข่าย 5G ร่วมกับหุ้นส่วนหลายฝ่ายในภาคอุตสาหกรรมเพื่อการใช้งานแบบ อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things -- IOT) ในย่านความถี่ 26 กิ๊กกะเฮิรตซ์

ทั้งนี้ ย่านความถี่ 700 เมกะเฮิรตซ์สามารถครอบคลุมพื้นที่ทั้งในอาคารและพื้นที่ห่างไกลในทุกภูมิภาคและเร่งพัฒนาสู่แนวทางการให้บริการ 5G โดยนำเทคโนโลยี Dynamic Spectrum Sharing (DSS) ซึ่งสามารถใช้งานโดยไม่ต้องแบ่ง Bandwidth ด้วยประสิทธิภาพเต็มที่สูงสุด ในขณะที่ย่านความถี่ 26 กิ๊กกะเฮิรตซ์จะมีความหน่วงต่ำที่สุด (lowest latencies) และมีความจุสูงที่สุดสำหรับการใช้งานในเทคโนโลยี 5G ที่ต้องการส่งผ่านข้อมูลที่มีปริมาณมากในทันที เช่น การเชื่อมโยงของอุปกรณ์ต่างๆ บริการระบบขนส่งและพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart Logistics and Smart Cities) และการให้บริการทางการแพทย์ทางไกล ทั้งนี้บริษัทได้เริ่มต้น 5G บนคลื่น 26 GHz กับพันธมิตรกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆในการปฏิวัติรูปแบบการใช้งาน หรือ use-case แต่ยังไม่ได้เริ่มให้บริการแก่ลูกค้าทั่วไป

  • เป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ต่อธุรกิจของ Telenor ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่โดยตรงของบริษัทในสัดส่วน 42.6% บริษัทได้รับการสนับสนุนจาก Telenor อย่างต่อเนื่องทั้งในด้านความช่วยเหลือในการบริหารจัดการ ความรู้ด้านเทคโนโลยีและการจัดหาอุปกรณ์ การใช้ตราสัญลักษณ์ร่วมกัน และการสนับสนุนที่จำเป็นต่างๆ โดย Telenor มีส่วนร่วมในการดำเนินงานของบริษัทอย่างใกล้ชิดซึ่งรวมถึงการสรรหาผู้บริหารเข้ามาร่วมงานกับบริษัท เป็นต้น

ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ต่อธุรกิจของ Telenor ด้วยเหตุผลหลายประการไม่ว่าจะเป็นการที่บริษัทเป็นผู้สร้างรายได้และกำไรในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญให้แก่กลุ่ม Telenor หรือการที่บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีและมีความเชื่อมโยงที่ใกล้ชิดกับชื่อเสียงของกลุ่ม ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่า Telenor จะให้การสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทในยามที่จำเป็นต่อไป ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นจากสถานะอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทซึ่งสะท้อนความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จาก Telenor

  • การให้บริการ 4G ยังคงมีบทบาทสำคัญในปัจจุบัน ทริสเรทติ้งมองว่าการแข่งขันในระหว่างผู้ประกอบธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในอนาคตอันใกล้เนื่องจากตลาดค่อนข้างอิ่มตัว ทริสเรทติ้งคาดว่าอุตสาหกรรมการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของประเทศไทยจะยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งในการพัฒนาการให้บริการ 5G ได้ในเชิงพาณิชย์ โดยคาดว่าตลาดจะยังคงใช้เทคโนโลยี 4G เป็นหลักและมีการเพิ่มระดับบริการสื่อสารไร้สายความเร็วสูง (Broadband) ในบางพื้นที่ ทั้งนี้ เทคโนโลยี 5G อาจต้องใช้เวลาในการพัฒนาทั้งในส่วนของเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและความเพียงพอของอุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยีนี้ ปัจจุบันบริษัทยังคงเพิ่มความจุและประสิทธิภาพของโครงข่าย 4G ภายใต้คลื่นความถี่ 2300 เมกะเฮิรตซ์และขยายเทคโนโลยี massive MIMO อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 บริษัทมีสถานีสำหรับโครงข่ายคลื่นความถี่ 2300 เมกะเฮิรตซ์จำนวน 20,400 แห่งโดยประมาณ
  • การลดลงอย่างต่อเนื่องของลูกค้า บริษัทยังคงเป็นผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่อันดับที่ 3 ของประเทศไทยโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 21% ของจำนวนผู้ใช้บริการในประเทศไทยทั้งหมด ณ เดือนธันวาคม 2563 และมีรายได้จากการให้บริการที่ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (Interconnection Charges ? IC) คิดเป็นสัดส่วน 23% ของรายได้รวมของอุตสาหกรรม

บริษัทสูญเสียลูกค้าไปมากกว่า 5 ล้านรายในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากความอ่อนไหวของตลาดจากการที่บริษัทมีความด้อยกว่าในเรื่องของจำนวนคลื่นความถี่และการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วงปลายปี 2562 เป็นต้นมา โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 บริษัทมีจำนวนลูกค้าทั้งสิ้น 18.9 ล้านราย ลดลง 8.6% จาก 20.6 ล้านรายในปี 2562 อนึ่ง ผู้ใช้บริการระบบรายเดือนคิดเป็นสัดส่วน 32% ของจำนวนผู้ใช้บริการทั้งหมดของบริษัทและสัดส่วนที่เหลือเป็นผู้ใช้บริการในระบบเติมเงิน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีสัญญาณที่ดีขึ้นของจำนวนผู้ใช้บริการในไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 และการที่บริษัทมีคลื่นความถี่พร้อมให้บริการเพิ่มมากขึ้น แต่ทริสเรทติ้งก็มองว่าความพยายามในการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทจะมีความท้าทายเป็นอย่างมาก

  • ความกดดันจากโรคโควิด 19 ที่ยังคงอยู่ ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อรายได้ของบริษัท แม้ว่าการระบาดจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคและช่วยเพิ่มยอดการใช้ข้อมูลรายเดือนของผู้ใช้บริการ แต่บริษัทก็ได้รับผลกระทบในทางลบจากการลดลงของการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในกลุ่มนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าวอันเนื่องมาจากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้รายได้จากการให้บริการที่ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่ายของบริษัทลดลง 5% มาอยู่ที่ระดับ 5.8 หมื่นล้านบาทในปี 2563 จากระดับ 6.1 หมื่นล้านบาทในปี 2562

ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะยังคงได้รับแรงกดดันจากสภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างเปราะบางท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด 19 รอบใหม่ ดังนั้น ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานทริสเรทติ้งจึงคาดว่ารายได้จากการให้บริการที่ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่ายของบริษัทในปี 2564 จะยังคงลดลงที่ระดับ 2% ต่อไปอีกจากปีก่อนหน้า โดยคาดว่ารายได้จะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาดีขึ้นตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไปจากสมมติฐานที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มีความคลี่คลายโดยที่บริษัทมีมาตรการในการพัฒนาบริการที่ดีขึ้นและมีการขยายโครงข่ายไปยังจังหวัดสำคัญ ๆ นอกเหนือจากกรุงเทพฯ

  • ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด การคงอันดับเครดิตของบริษัทในครั้งนี้มีสาเหตุหลักมาจากการที่บริษัทมีความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ แม้จำนวนผู้ใช้บริการของบริษัทจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทก็ยังมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่อยู่ในระดับน่าพอใจตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาโดยอยู่ที่ระดับ 2.8-3 หมื่นล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 34%-40% ซึ่งความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งดังกล่าวเกิดจากการมีต้นทุนส่วนแบ่งรายได้ (Regulatory Cost) ที่ลดลงและการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพของบริษัท

สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับช่วงปี 2564-2566 คาดว่าบริษัทจะยังคงมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งที่ระดับ 2.9-3.1 หมื่นล้านบาทต่อปีได้ โดยคาดว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ในช่วง 38%-39% ถึงแม้ว่ารายได้ของบริษัทคาดว่าจะลดลงในปี 2564 ผนวกกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ต้นทุนส่วนแบ่งรายได้และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงข่ายคาดว่าจะลดลงตลอดช่วงปีประมาณการโดยมีสาเหตุหลักเนื่องมาจากบริษัทมีรายจ่ายค่าเช่าในการใช้โครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์โทรคมนาคมของ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (กสท.) ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ต้นทุนบริการข้ามโครงข่ายไปยังโครงข่าย 2300 เมกะเฮิรตซ์ของบริษัททีโอทีจะยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่ง ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะยังคงควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้เป็นอย่างดีต่อไป ในการนี้ จากการประมาณการของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ระหว่าง 2.6-2.8 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2564-2566

  • ภาระหนี้คาดว่าจะลดลง ทริสเรทติ้งประมาณการว่าเงินลงทุนสำหรับการขยายโครงข่ายของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาทต่อปีและบริษัทจะมีภาระการชำระค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่ตามกำหนดทั้งสิ้นอีกประมาณ 2 หมื่นล้านบาทตลอดช่วงปี 2564-2566 แม้ว่าบริษัทต้องมีการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการ แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะทยอยลดลงหลังจากที่บริษัทสร้างรายได้จากคลื่นความถี่ที่ประมูลมาได้ใหม่

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินซึ่งรวมภาระหนี้และหนี้สินจากสัญญาเช่าทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 3.4 เท่าในปี 2564 และจะลดลงมาอยู่ที่ 2.5-3 เท่าในปีต่อ ๆ ไป ในขณะที่ประมาณการอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ระดับ 25%-37% ตลอดช่วงปีประมาณการ

  • สภาพคล่องที่เพียงพอ ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วงเวลา 12 เดือนข้างหน้า โดยคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาทในปี 2564 เพื่อขยายโครงข่ายและชำระค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่ ในขณะเดียวกัน บริษัทมีภาระหนี้ที่จะต้องจ่ายชำระให้แก่ธนาคารและสำหรับไถ่ถอนหุ้นกู้คิดเป็นจำนวน 6.5 พันล้านบาทในปี 2564 และยังมีหนี้ระยะสั้นในส่วนของสัญญาเช่าทางการเงินอีกจำนวน 4.6 พันล้านบาท

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอสำหรับการชำระหนี้โดยบริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 6.6 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 และเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาทด้วย ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทจ่ายเงินปันผลในระดับที่เหมาะสมเพื่อที่จะได้มีกระแสเงินสดที่เพียงพอรองรับภาระเงินลงทุนก้อนใหญ่สำหรับใช้ขยายโครงข่ายและจ่ายชำระค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

-รายได้จากการให้บริการที่ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่ายจะลดลง 2% ในปี 2564 และจะเพิ่มขึ้น 2%-3% ในระหว่างปี 2565-2566

-อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะอยู่ในช่วง 38%-39% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า

-บริษัทจะใช้เงินลงทุนปีละประมาณ 1.8-2.2 หมื่นล้านบาท

-จะไม่มีการประมูลคลื่นความถี่ใหม่ตลอดระยะเวลาประมาณการ

-อัตราการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 50%

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและได้รับรายได้จากคลื่นความถี่ที่ประมูลมาได้ใหม่ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าภาระหนี้และกระแสเงินสดสำหรับการชำระหนี้ของบริษัทจะอยู่ในระดับที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้และคาดหวังให้บริษัทดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างระมัดระวังเพื่อที่จะบริหารเงินลงทุนก้อนใหญ่ที่ใช้ขยายโครงข่ายและจ่ายค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่รวมถึงจ่ายเงินปันผลและชำระหนี้ได้โดยไม่เกิดปัญหาด้านสภาพคล่อง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้ายังมีจำกัดแต่ก็อาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถยกระดับตำแหน่งทางการตลาดและสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้มากขึ้นจนทำให้อัตราส่วนหนี้สินปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญได้ ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตจะเกิดขึ้นได้หากบริษัทมีผลการดำเนินงานด้อยกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ หรือสถานะทางการเงินของบริษัทเสื่อมถอยลงอย่างมาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ