กองทุนบำเหน็ญบำนาญข้าราชการ (กบข.) ระบุว่า ท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มทรงตัวหรือดีขึ้นในระยะต่อไป ดัชนีเศรษฐกิจทยอยปรับตัวสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านอุปสงค์และอุปทาน หรือภาคการผลิตและบริการ การค้าโลกแสดงสัญญาณฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับขึ้นการคาดการณ์อัตราการเติบโต GDP ของเศรษฐกิจทั่วโลกโดยเฉพาะของสหรัฐอเมริกา
แต่สำหรับประเทศไทยนั้นเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวช้าเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลก เนื่องมาจากภาวะโควิด-19 แพร่ระบาดระลอกสามและการกระจายวัคซีนที่ล่าช้า ทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ และการกลับมามีรายได้จากการท่องเที่ยว
กบข.มองแนวโน้มภาพรวมการลงทุนในช่วงนี้และระยะถัดไปจากปัจจัยความเสี่ยงอัตราเงินเฟ้อ การคาดการณ์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่อาจเริ่มชะลอตัวลง และจากแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจเริ่มลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินโดยการส่งสัญญาณปรับลดเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE taper) ในช่วงกลางปีหรือในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ จากปัจจัยดังกล่าว รวมถึงผลประกอบการโดยรวมจากสถาบันการเงินในไตรมาสที่ 1 ที่ออกมาดีกว่าที่คาดส่งผลกระทบเชิงบวกกับตราสารทุนกลุ่มปลายวัฏจักรการลงทุน ได้แก่ ตราสารทุนกลุ่ม Value และ Cyclical เช่น การเงิน อุตสาหกรรม และพลังงาน
นอกจากนี้การปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond Yield) และการคาดการณ์ส่งสัญญาณ QE Taper ดังกล่าว ส่งผลกระทบเชิงลบต่อราคาพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ภาคเอกชน และสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Growth เช่น หุ้นกลุ่ม Technology
ในขณะเดียวกัน กบข. ยังคงคาดการณ์ Bond Yield อายุ 10 ปี ของสหรัฐฯ ไว้ที่ 1.8-2.0% ภายในปี 64 แต่ค่อยเป็นค่อยไปในไตรมาส 2 นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของ Bond Yield และการคาดการณ์ส่งสัญญาณ QE Taper อาจผลักดันให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า โดยอาจไปถึงระดับ 31.5-31.7 บาท/ดอลลาร์ แต่คาดว่าไตรมาส 4/64 อาจกลับมาใกล้เคียงระดับ 31.3 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งค่อนข้างอ่อนค่าเมื่อเทียบกับปลายปี 63 เนื่องจากประมาณการดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย (Current Account) เข้าใกล้ศูนย์หรือติดลบ เนื่องจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้า และมูลค่าการนำเข้าที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้น