ภาวะตลาดหุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับขึ้นตามต่างประเทศขานรับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ-ยุโรป

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 7, 2021 09:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสปรับขึ้นเช่นเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย ขานรับตัวเลขเศรษฐกิจอออกมาดีทั้งสหรัฐและยุโรป แม้มีข่าวประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) บางคนออกมาเตือนเรื่องตลาดหุ้น และผลประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) วานนี้ปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ลงสู่ระดับ 3.4 พันล้านปอนด์/สัปดาห์ระหว่างเดือน พ.ค.-ส.ค.จากปัจจุบัน 4.4 พันล้านปอนด์/สัปดาห์ เป็นสัญญาณว่าหลายประเทศคงดำเนินการในทิศทางเดียวกัน แต่มองว่าตราบใดที่เฟดยังไม่ปรับลด QE ตลาดหุ้นก็ยังน่าจะไปต่อได้

ทั้งนี้ ตลาดบ้านเราคงจะได้รับผลดีจากตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นขาขึ้น และนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อบ้างแล้ว รวมถึงการเลื่อนใช้เกณฑ์ฟรีโฟลตใหม่ก็ช่วยหนุนให้สามารถเล่นเก็งกำไรหุ้นได้ประโยชน์ โดยเฉพาะหุ้นร้อนแรงอย่าง DELTA และอาจมีหุ้นตัวอื่น ๆ ตามมา อีกทั้งคาดว่าจะมีการเล่นเก็งกำไรผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนด้วย

อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศที่ยังไม่ดีขึ้นถ่วงตลาดอยู่ เป็นผลให้หลายสำนักวิจัยอาจทยอยปรับลดประมาณการ GDP ไทยลง และยังต้องติดตามภาครัฐฯจะมีมาตรการคุมเข้มออกมาเพิ่มอีกหรือไม่ แต่คิดว่าไม่น่าจะมีออกมาแล้ว

พร้อมให้แนวรับ 1,560-1,565 จุด ส่วนแนวต้าน 1,580 จุด

ด้านนายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนในประเทศยังคงเป็นบวก หลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐออกมาค่อนข้างดี โดยจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 92,000 ราย สู่ระดับ 498,000 ราย ต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐเมื่อเดือน มี.ค.63 และผลประกอบการไตรมาส 1/64 ของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกที่ทยอยออกมามีทิศทางค่อนข้างดี

ขณะเดียวกันนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลระยะสั้นเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของทางสหรัฐฯ ขณะที่เฟดจะมีการประชุมรอบใหม่ในวันที่ 13 มิ.ย.ตลาดยังคงจับตาว่าจะส่งสัญญาณการเริ่มลดระดับ QE เมื่อใด หลังจากนั้นคงจะเข้าสู่ประเด็นเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ย

วันนี้หุ้น IPO บมจ.ทางยกระดับดอนเมือง (DMT) เข้าเทรดในตลาดวันแรก มองความน่าสนใจปานกลาง และแนะนำให้ถือ โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 17.40 บาท เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เหลือสัมปทาน 13 ปี ถือว่าไม่ยาว ขณะเดียวกันอัตราการเพิ่มขึ้นของปริมาณการใช้รถยนต์ในอนาคต มองว่ามีความท้าทายเนื่องจากมีทั้งรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีแดงที่วิ่งคู่ถนนวิภาวดี ดังนั้นปริมาณการใช้รถยนต์อาจลดลงได้ ขณะเดียวกันวิธีการปรับค่าสัมปทานปรับตามปริมาณรถยนต์ที่ใช้ทางด่วน หากเติบโตได้ช้าอาจเจอปัญหาในปีหลังๆ ที่ค่าสัมปทานอาจสูงขึ้นได้

พร้อมให้แนวรับ 1,560 จุด และแนวต้าน 1,580 จุด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ