นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี (AIT) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเข้าร่วมประมูลงานใหม่ โดยมุ่งเน้นงานภาครัฐและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากภาครัฐเร่งเดินหน้าแผนการลงทุนด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ตามกรอบงบประมาณปี 64 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ปัจจุบัน AIT มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ วันที่ 30 เม.ย.64 อยู่ที่ 5,700 ล้านบาท และยังมีงานที่อยู่ระหว่างรอคำสั่งซื้อจากลูกค้า (Waiting for P/O) อีกประมาณ 120 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้
ทั้งนี้ แม้ยังคงต้องเผชิญต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด?19 แต่บริษัทฯ ก็ได้เตรียมรับมืออย่างเต็มที่ โดยยังคงเดินหน้าตามแผนธุรกิจ และมั่นใจผลการดำเนินงานในปี 64 จะทำได้ 6,500 ล้านบาท ตามเป้าหมาย ถือเป็นการเติบโตแบบ Conservative Growth โดยเน้นการพัฒนาการให้บริการเพื่อสร้างความพึงพอใจของลูกค้าอย่างสูงสุด รวมถึงการพัฒนาบุคลากรและระบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการมุ่งเน้นผลกำไรและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น
ในช่วงไตรมาสแรกของปี 64 จากงบเฉพาะกิจการ บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 1,824 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 48% และมีกำไรสุทธิ 123 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 98% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 1,232 ล้านบาท และ 62 ล้านบาท ตามลำดับ เป็นผลมาจากการทยอยส่งมอบงานให้แก่ลูกค้าทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนจาก Backlog ในปี 63 จำนวน 4,760 ล้านบาท
ขณะที่ในไตรมาสแรก บริษัทฯ ได้รับโครงการใหม่ๆ เช่น โครงการสัญญาซื้อขาย Storage สำหรับขยายระบบคลาวด์กลางภาครัฐ และโครงการสัญญาจ้างบำรุงรักษาระบบและอุปกรณ์โครงข่ายสื่อสารข้อมูลของ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด เป็นต้น
"แม้ประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระลอกที่สาม แต่บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริม Backlog อย่างเต็มที่ โดยยังเดินหน้าตามแผนธุรกิจที่วางไว้ เนื่องจากในปัจจุบันเทคโนโลยีกลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันและต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งในสถานการณ์โรคระบาดทำให้ผู้คนหันมาเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบเครือข่าย หรือระบบ Cloud Computing เพื่อรองรับการทำงานทุกด้าน ทั้งด้านการจัดเก็บข้อมูล ด้านการติดตั้งฐานข้อมูล หรือการใช้งานซอฟต์แวร์เฉพาะด้านในธุรกิจต่างๆ เพื่อเข้าถึงข้อมูล และสามารถอำนวยความสะดวกได้ ซึ่งในอนาคตจะเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจ การใช้ชีวิต และการทำกิจกรรมต่างๆ ทำให้บริษัทฯ ไม่หยุดที่จะพัฒนารูปแบบการทำงานให้รองรับการใช้งานของลูกค้า" นายศิริพงษ์ กล่าว