นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET) มองทิศทางธุรกิจนายหน้าซื้อขายหุ้นยังคงดีต่อเนื่องจากช่วงไตรมาส 1/64 เนื่องจากปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในส่วนของการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยที่เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของปริมาณการซื้อขาย และสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยเทียบกับนักลงทุนโดยรวม ขณะที่บบริษัทเองมีลูกค้าหลักเป็นนักลงทุนบุคคลจึงมองว่าภาพรวมแบบนี้จะเป็นปัจจัยหนุนทิศทางผลประกอบการของบริษัท ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีสัดส่วนรายได้หลักมากกว่า 70% ของรายได้รวมทั้งหมด
สำหรับทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ปัจจัยต่างประเทศเองก็ยังคงหนุนด้วยประเทศหลักคือ ประเทศจีน ประเทศสหรัฐ และสหภาพยุโรป ที่เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้รวดเร็ว หลังจากสถานการณการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงได้รับปัจจัยกดดันจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกสาม ที่กดดันการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศ แต่อย่างไรก็ตามยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐออกมาหนุนการใช้จ่ายการบริโภคในประเทศหนุน GDP ได้ ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยมีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้หลังจากที่ภาครัฐได้เร่งการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสที่ประเทศไทยจะกลับมาเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้ามาได้ จะส่งผลให้อุตสาหกรรมต่างๆกลับมาฟื้นตัว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นสัดส่วนใหญ่ของ GDP ไทย
โดยในระยะสั้นคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย จะบวก-ลบ ในกรอบ 100 จุด โดยมองว่าหากมีการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ยังเป็รช่วงที่เหมาะสมในการเข้าซื้อเพื่อที่จะสะสม เนื่องจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยในช่วงไตรมาส 1/64 ที่ผ่านมาออกมาดีกว่าที่คาด ส่งผลให้มีโอกาสที่จะปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยเพิ่มขึ้น และในระยะเวลา 2 ปี ข้างหน้าประเทศไทยจะมีการฟื้นตัวจากการท่องเที่ยวที่เข้ามาหนุนเพิ่มเติมด้วย
ทั้งนี้ แนะนำการลงทุนท่ามกลางตลาดปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. จัดสรร Portfolio แบบผสมผสาน เช่น New Economy (Trend Growth) และ Old Economy (Value) 2.สร้างสรรค์ธีมการลงทุนที่เหมาะสม เช่น Reopening, Vaccine, EV, หุ้นเกี่ยวกับธุรกิจกัญชง และ 3. คัดสรร หุ่นเด่นตามฤดูกาล ( Seasonal Play)