นายสมชาย งามกิจเจริญลาภ รองประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ (SNC) เปิดเผยว่า บริษัทมีผลประกอบการในไตรมาส 1/64 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/63 ถึง 53% โดยมีรายได้อยู่ที่ 3,594 ล้านบาท โดยมาจากสัดส่วนงานรับจ้างผลิต (OEM) และจากชิ้นส่วนเครื่องไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ส่วนกำไรในไตรมาส 1/64 นี้อยู่ที่ 148 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/63 โดยมาจากสัดส่วนแอร์บ้าน และจากส่วนของงานรับจ้างผลิต (OEM) ที่เพิ่มขึ้น
ด้านนายรัฐภูมิ นันทปถวี กรรมการผู้จัดการอาวุโส SNC กล่าวว่า บริษัทคาดผลประกอบการในไตรมาส 2/64 เติบโตกว่าไตรมาส 1/64 โดยจะมาจากธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ที่ได้รับออร์เดอร์เข้ามามากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2 ล้านเครื่อง ในช่วงพีคใช้กำลังการผลิตค่อนข้างเต็มที่ โดยจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 4 ล้านเครื่องเพื่อรองรับออเดอร์เพิ่ม
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปี 64 ที่ 25% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 8,961 ล้านบาท
"จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ระลอกแรกจนถึงระลอกใหม่ บริษัทไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากบริษัทยังคงรักษามาตรการความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ธุรกิจจะมีการส่งออกเป็นหลัก แต่ในปีที่แล้วก็ยังเห็นการเติบโต ประกอบกับในไตรมาส 1/64 เองก็สะท้อนตัวเลขการเติบโตที่ดีขึ้น ส่วนปัญหาด้านราคาทองแดงที่เพิ่มขึ้นไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทมากนัก เนื่องจากบริษัทจะมีการคุยราคากับลูกค้าในทุกๆ 3 เดือนอยู่แล้ว" นายรัฐภูมิ กล่าว
นายรัฐภูมิ กล่าวว่า จากที่บริษัทได้เพิ่มทุนและได้เปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์การใช้เงินเพิ่มทุนโดยปรับแผนไปเป็นขยายกำลังการผลิตธุรกิจเดิม ได้แก่ ธุรกิจรับจ้างผลิตและประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้า (OEM) ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า (PARTS) และธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ (AUTO)และรองรับโอกาสใหม่ทางธุรกิจนั้น บริษัทมีแผนสร้างอาคารเพิ่ม 3 หลัง โดยมีพื้นที่รวมทั้งหมด 1 แสนตารางเมตร ประกอบกับมีการลงทุนในเครื่องจักรเพิ่ม โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งหมด 1,155 ล้านบาท โดยจะเริ่มทยอยสร้างโรงงานได้ในไตรมาส 3/64 โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้
ทั้งนี้ เดิมบริษัทจะใช้เงินเพิ่มทุนเพื่อรองรับการก่อสร้างโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าสำหรับธุรกิจผลิตตู้เก็บเครื่องมือ (Toolbox) และการสร้างคลังสินค้าสำหรับใช้ภายในกลุ่มบริษัท ราว 800 ล้านบาท และงบเครื่องจักรอีกประมาณ 300 ล้านบาทนั้น เนื่องจากว่าลูกค้าคือ Geelong บริษัทในประเทศจีนได้แจ้งปรับโครงสร้างการถือหุ้นจาก Orchid Asia เป็น Great Star ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทเรื่องการรับจ้างผลิต (OEM) ตู้เก็บเครื่องมือ (Toolbox) และส่งผลกระทบต่อโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า
ขณะที่ทาง Geelong ขอให้บริษัทรอความชัดเจนเรื่องการเช่าโรงงาน ประกอบกับออเดอร์ที่มากขึ้นจากการรับจ้างผลิต (OEM) ของประเทศจีน และประเทศเวียดนาม ทางบริษัทจึงไม่สามารถรอความชัดเจนจากทาง Geelong ได้จึงขออนุมัติบอร์ดเพื่อเปลี่ยนวัตถุประสงค์ในการลงทุน ให้เป็นการสร้างโรงงานเพื่อการผลิตสินค้าประเภทอื่น
ในปี 63 บริษัทมีการผลิตสินค้าหลัก คือเครื่องปรับอากาศ 720,000 เครื่อง และทีวีอีก 90,000 เครื่อง รวมงานรับจ้างผลิต (OEM) ทั้งหมด 810,000 เครื่อง แต่ในปี 64 นี้บริษัทวางแผนผลิต งานรับจ้างผลิต (OEM) มากขึ้นเป็น 1.34 ล้านเครื่อง โดยแบ่งเป็นเครื่องปรับอากาศ 1.05 เครื่อง, ทีวี 220,000 เครื่อง, ปีนี้เริ่มผลิตตู้เย็น 50,000 เครื่อง และในช่วงไตรมาส 3-4/64 จะเริ่มผลิตเครื่องซักผ้าอีก 20,000 เครื่อง ทั้งนี้ในปี 65 บริษัทคาดว่าจะมีออเดอร์จากงานรับจ้างผลิต (OEM) เพิ่มขึ้น อยู่ที่ 2.31 ล้านเครื่อง และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในปีต่อๆ ไป จึงเป็นเหตุผลในสร้างโรงงาน และเพิ่มการลงทุนในเครื่องจักร เพื่อรองรับการผลิตสินค้าจากการรับจ้างผลิต (OEM) ที่มากขึ้นในอนาคต
นายสมชาย กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศในประเทศไทย ด้านการผลิตในช่วงไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 7.09 ล้านเครื่อง ลดลงจากไตรมาส 1/63 ที่ 4.4% แบ่งเป็นการส่งออกของไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 5.53 ล้านเครื่อง ลดลงจากไตรมาส 1/63 ที่ 4.9% และตลาดในประเทศช่วงไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 1.55 ล้านเครื่อง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/63 ลดลงที่ 2.6% อย่างไรก็ตามคาดว่าภาพรวมตลาดเครื่องปรับอากาศยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผลกระทบที่ส่งผลให้การผลิตและการส่งออกยังติดขัด มาจากปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์
ขณะที่ตลาดรถยนต์ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ปีที่แล้วตลาดได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก โดยภาพรวมตลาดปี 63 อยู่ที่ 1.4 ล้านคัน ปีนี้จึงปรับตัวดีขึ้นที่ 1.5 ล้านคัน ในช่วงไตรมาส 1/64 นี้ภาพรวมอยู่ที่ 470,000 คัน ซึ่งเติบโตกว่าไตรมาส 1/63 ที่ 4% โดยส่วนมากเติบโตจากตลาดส่งออกที่ 280,000 คัน ซึ่งเติบโตกว่าไตรมาส 1/63 ถึง 12% ทั้งนี้ตลาดรถยนต์ในประเทศไตรมาส 1/64 ลดลงจากไตรมาส 1/63 ที่ 5% อยู่ที่ 190,000 คัน
ส่วนตลาดเครื่องซักผ้าในประเทศไทย ช่วงไตรมาส 1/64 มียอดผลิตรวมที่ 1.94 ล้านตู้ ซึ่งเติบโตจากไตรมาส 1/63 ถึง 21.2% โดยแบ่งเป็นส่งออกในไตรมาส 1/64 ที่ 1.47 ล้านตู้ เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/63 ที่ 23% และจากตลาดในประเทศ 470,000 ล้านตู้ เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/63 ที่ 15.7%
สำหรับตลาดตู้เย็นคาดภาพรวมทั้งปีเติบโตกว่า 10% ในไตรมาส 1/64 ภาพรวมตลาดอยู่ที่ 2.21 ล้านตู้ เติบโตกว่าไตรมาส 1/63 ที่ 15.7% แบ่งเป็นตลาดส่งออกไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 1.73 ล้านตู้ เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/63 ที่ 19.3% ส่วนตลาดในประเทศไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 480,000 ตู้ เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/63 ที่ 4.2%