นายวิรัตน์ ผูกไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) (SMT) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 64 จะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากมีงานที่เตรียมส่งมอบให้กับลูกค้าในช่วงครึ่งปีหลังค่อนข้างมาก ส่งผลให้แนวโน้มของผลงานจะมีความโดดเด่น โดยขณะนี้บริษัทมีคำสี่งซื้อในมือ (Backlog) ทั้งหมด 2 พันล้านบาท ซึ่งจะส่งมอบให้กับลูกค้าราว 1.5 พันล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง
ภาพรวมของบริษัทในปี 64 ได้เติบโตขึ้นอย่างชัดเจน จากการที่ตลาดสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าในธุรกิจ OPTICS ที่มีออเดอร์เข้ามาเป็นจำนวนมาก และกลุ่มลูกค้า PCBA ที่มีออเดอร์เข้ามาค่อนข้างมากเช่นเดียวกัน ประกอบกับการที่บริษัทปรับกลยุทธ์ใหม่มาเป็นการเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีการพัฒนาสินค้าต่อเนื่อง ทำให้บริษัทมีโอกาสรับออเดอร์ให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน พร้อมกับการหาโซลูชั่นใหม่ๆ มานำเสนอให้กับลูกค้า เพื่อช่วยต่อยอดธุรกิจให้เติบโตขึ้น และการกระจายฐานลูกค้าให้มีความหลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยที่มั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะทำได้แตะ 3 พันล้านบาท
สำหรับภาวะในปัจจุบันที่ราคาต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น การบริหารจัดการของบริษัทนั้นได้มีการล็อกสัญญางานใหม่กับลูกค้าไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยที่ปัจจุบันบริษัทมีงานใหม่ที่เตรียมทำสัญญากับลูกค้าอีกว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นงานใหม่ที่จะเริ่มใน 9 เดือน-1 ปีครึ่ง โดยงานที่บริษัทได้รับเข้ามานั้นจะทำการล็อกต้นทุนต่างๆไว้ทั้งหมด ทำให้บริษัทสามารถบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านความผันผวนของค่าเงินบริษัทมีการทำประกันความเสี่ยงรองรับไว้แล้ว ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนที่เกิดขึ้นมากนัก และยังสามารถทำอัตรากำไรได้ดี โดยที่ในปี 64 บริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 20% จากปีก่อนที่ 18.6%
ด้านการลงทุนของบริษัทในปัจจุบันได้มีการเตรียมนำพื้นที่ที่ของสำนักงานในประเทศบางส่วนมาปรับเป็นไลน์การผลิตแทน เพื่อรองรับกับออเดอร์ของลูกค้าที่เข้ามาเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สามารถผลิตและส่งมอบงานให้กับลูกค้าได้ทันตามกำหนด
ส่วนการลงทุนในต่างประเทศนั้นมองว่าหลังจากโควิด-19 เริ่มคลี่คลายและสามารถกลับมาเดินทางได้ บริษัทจะเริ่มไปทำดีลเจรจากับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อซื้อกิจการเข้ามาสนับสนุนศักยภาพการผลิตและเป็นฐานการผลิตในต่างประเทศ รองรับการขยายฐานลูกค้าใหม่
โดยกลุ่มประเทศแรกที่บริษัทสนใจเข้าไปนั้นจะอยู่ในยุโรปก่อน เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่และมีฐานลุกค้าในยุโรปเป็นจำนวนมาก ซึ่งแนวทางที่บริษัทจะเข้าไปนั้นเป็นการซื้อกิจการที่เกี่ยวเนื่องนั้นจะเป็นธุรกิจที่มีขนาดเล็ก มีโรงงานผลิตอยู่แล้ว มีพนักงาน 80-100 คน มียอดขาย 500-1,000 ล้านบาท/ปี และเป็นธุรกิจที่สามารถใช้แหล่งเงินทุนในประเทศนั้นได้เอง โดยที่บริษัทไม่จำเป็นต้องหาแหล่งเงินทุนให้ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 100-200 ล้านบาทในการซื้อกิจการ และน่าจะชัดเจนในช่วงปลายปีนี้ เพื่อรองรับการเติบโตในปี 65
อีกทั้งยังมองไปถึงการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอเมริกาและจีนในอนาคต ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัทที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้วด้วย