นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/64 บริษัทมีรายได้จากการขายสุทธิ 48,388 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/63 เป็นผลมาจากราคาขายเพิ่มขึ้น 25% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
โดยมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 6,965 ล้านบาท (13.68 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล) เพิ่มขึ้น 13% สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ทั้งปิโตรเลียมและปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้น และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 11,967 ล้านบาท หรือ 23.51 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 59% สาเหตุหลักจากกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิรวมเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นมากจากราคาเฉลี่ย 44.62 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ในไตรมาส 4/63 เป็น 60.01 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ในไตรมาส 1/64 ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 5,581 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,973 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน
บริษัทเดินหน้าโครงการการขยายธุรกิจ โดยมีโครงการลงทุนที่สำคัญ ได้แก่ โครงการผลิตเม็ดพลาสติก PP เกรดพิเศษสำหรับ ผ้า Melt blown รวมถึงการต่อยอดธุรกิจปิโตรเคมีปลายน้ำโดยการร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท อินโนโพลีเมด จำกัด เพื่อผลิตผ้า Melt blown ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำคัญสำหรับผ้าชั้นกรองหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ และแผ่นกรองอากาศ เป็นต้น โครงการสร้างห้องปฏิบัติการทดสอบคุณภาพของอุปกรณ์ทางการแพทย์ ครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการปรับปรุงการผลิตเพื่อรองรับมาตรฐานน้ำมัน EURO V
รวมถึงการมองหาพันธมิตร เพื่อสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจ และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Smart materials ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสุขอนามัย ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจ
แนวโน้มภาวะตลาดน้ำมันดิบในไตรมาส 2 ความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากมีการกระจายของวัคซีนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มคลี่คลายมากขึ้น ทั้งยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่องและคาดว่าประชากรมากกว่า 90% จะได้รับวัคซีนครบ 2 ครั้งภายในไตรมาส 2/64 แม้ตลาดยังคงมีความกังวลต่อการติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ส่วนราคาน้ำมันดิบคาดว่าจะทรงตัว เนื่องจากกลุ่มโอเปกและพันธมิตร นำโดยประเทศซาอุดิอาระเบีย มีความเห็นร่วมกันเกี่ยวกับการรักษาสมดุลของตลาด โดยจะค่อยๆ ปรับเพิ่มปริมาณการผลิตในเดือน พ.ค.ถึงก.ค. ทั้งนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามแนวโน้มของตลาดในอนาคต และอาจเข้าสู่สภาวะอุปทานตึงตัว (Tight Supply) ในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 หลังจากที่ความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัว
แนวโน้มภาวะตลาดปิโตรเคมีในไตรมาส 2/64 คาดว่าปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะยังคงอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา จากการที่ตลาดหลักอย่างประเทศจีนมีการผลิตและการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่โรงงานต่างๆ ในประเทศจีนได้กลับมาผลิตสินค้าอีกครั้ง ส่งผลให้แนวโน้มตลาดในภูมิภาคอาเซียนกลับมาเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตใหม่ที่อาจเพิ่มขึ้น รวมถึงการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ทั่วโลกในปัจจุบันที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย เป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง แม้ว่าการแพร่ระบาดนั้นทำให้เกิดการปรับตัวเข้าสู่พฤติกรรมการบริโภคยุค New Normal ซึ่งเป็นผลดีต่อความต้องการผลิตภัณฑ์กลุ่มโอเลฟินส์ และกลุ่มสไตรีนิกส์ นอกจากนี้การแพร่กระจายของวัคซีน รวมถึงนโยบายอัดฉีดเงินสนับสนุนทางเศรษฐกิจ และการออกมาตรการกระตุ้นและสนับสนุนภาคการผลิตจากภาครัฐ เป็นปัจจัยหลักที่มีความสำคัญต่อความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีด้วยเช่นกัน
ในด้านของการดูแลสังคม IRPC ได้จัดหาวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ชุด Cover all ชุดกาวน์ ถุงมือยาง เครื่องอุปโภค บริโภคและของใช้ที่จำเป็น โดยร่วมมือกับกลุ่ม ปตท. รวมทั้งเครือข่ายคู่ค้า ลูกค้า เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และประชาชน ทั้งในพื้นที่รอบเขตประกอบการอุตสาหกรรม ไออาร์พีซี จ.ระยอง และโรงพยาบาลในจังหวัดต่างๆ ให้ปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19