นายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไพโอเนียร์ มอเตอร์ (PIMO) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจยอดขายปี 64 เติบโต 20% จากปีก่อนที่ 795 ล้านบาท หลังยอดขายไตรมาส 1/64 เพิ่มขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ และมีออเดอร์เข้ามาถึงไตรมาส 3/64 อีกทั้งในปีนี้บริษัทมีแผนออกสินค้าใหม่ทั้งหมด 3 ประเภท คือ 1. ผลิตภัณฑ์เครื่องสูบน้ำหอยโข่ง ภายใต้แบรนด์ Pioneer Motor 2. มอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้เซ็นสัญญากับบริษัท จีพี มอเตอร์ (ประเทศไทย) เพื่อทำมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้าร่วมกัน โดยประมาณราคาซื้อขายมอเตอร์อยู่ที่ 10,000-15,000 บาท/ลูก และปริมาณการซื้อขายที่ 5,000-30,000 ลูก/ปี
ด้านแผนการลงทุนในปี 64 จะใช้งบลงทุนทั้งสิ้น 85 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกำลังการผลิต ประกอบไปด้วย การสร้าง Warehouse ใหม่ งบลงทุน 21.3 ล้านบาท พื้นที่ 3,019 ตรม. ปัจจุบันก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว 50% คาดว่าจะใช้งานได้ภายในเดือนต.ค.ปีนี้ และ การซื้ออาคารเพื่อขยายกำลังผลิตมอเตอร์ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเจรจา คาดว่าจะใช้งบประมาณในการตกแต่งและปรับปรุงราว 10 ล้านบาท รวมไปถึงการลงทุนติดหลังคาโซลาร์เซลล์เพิ่มเติมที่อาคาร BLDC งบลงทุน 8.3 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีการลงทุนหุ่นยนต์ Automation 3 ตัว และ เครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต 1 เครื่อง แบ่งเป็น หุ่นยนต์หยิบชิ้นงานแผนกฝา 2 ตัว หุ่นยนต์หยิบชิ้นงานแผนกแกน 1 ตัว และเครื่องฉีด Rotor Auto 1 เครื่อง รวมไปถึงการลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติมในส่วนของมอเตอร์ AC ทั้งหมด 7 เครื่อง ประกอบด้วย เครื่องฉีดอะลูมิเนียม 1 เครื่อง เครื่อง CNC 1 เครื่อง เครื่องกลึงเปลือก 1 เครื่อง เครื่องพันลวด 2 เครื่อง และ เครื่องมัดเชือก 2 เครื่อง รวมไปถึงการขยายกำลังการผลิต Variable Speed Motors สำหรับตลาดต่างประเทศ จาก 70 ลูก เป็น 120 ลูก และเพิ่มกำลังผลิตมอเตอร์ปั๊มน้ำใช้ในบ้านสำหรับผู้ใช้ในประเทศ 40%
สำหรับโครงการวิจัยมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าร่วมกับทางสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บริษัทสามารถผลิตมอเตอร์สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าได้ เพราะมีลักษณะคล้ายกับมอเตอร์ BLDC สระว่ายน้ำที่ทางบริษัทมีอยู่แล้ว แต่กำลังอยู่ในช่วงรอให้ทาง สวทช.ศึกษาเรื่องสิทธิบัตรเพิ่มเติมก่อน ในส่วนของคอนโทรลเลอร์ ยังขาดแคลนบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับทางด้านนี้โดยตรง ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงค้นหาบุคลากรเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามยังคงเชื่อว่ากระแสมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก จะส่งผลดีกับธุรกิจมอเตอร์อย่างแน่นอน
ส่วนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ของทางบริษัทว่าปัจจุบันได้ดำเนินการติดต่อกระทรวงสาธารณสุข เพื่อจัดหาวัคซีนมาฉีดให้กับพนักงาน พร้อมทั้งยังมีมาตรการรักษาระยะห่าง การล้างมือ และการสวมหน้ากากอนามัยอย่างเข้มงวด เพื่อความปลอดภัยของพนักงานอีกด้วย และสถานการณ์ราคาวัตถุดิบในการผลิตที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนไม่ว่าจะเป็น ทองแดง (Copper) ที่สูงขึ้น 73% อะลูมิเนียม (Aluminum) สูงขึ้น 42% และ ซิลิคอน (Silicon) สูงขึ้น 40% ทางบริษัทได้มีการสังสัญญาณขอขึ้นราคาสินค้าไปยังลูกค้ารายต่างๆ และพยายามควบคุมต้นทุนการผลิตให้ลดลง เพื่อรักษามาร์จิ้นไว้ในระดับที่เหมาะสม