บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 1/64 บริษัทรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ 782 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณยอดขายและบริหารจัดการน้ำทั้งในและต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น และการรับรู้รายได้จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มเติม และส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 131 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม กำไรจากการดำเนินงานปกติ (Normalized Net Income) ซึ่งไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนมีจำนวน 189 ล้านบาท ลดลง 15% จากปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงไฟฟ้า Gheco-One ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา
นายนิพนธ์ บุญเดชานันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WHAUP เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/64 ในส่วนของธุรกิจสาธารณูปโภคนั้นมีการเติบโต เนื่องจากบริษัทมีปริมาณการจำหน่ายและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม 33 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขี้น 12 % เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากความต้องการใช้น้ำสูงขึ้น เนื่องจากบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง และภาครัฐไม่ได้ใช้มาตรการ lockdown ทำให้ปริมาณการใช้น้ำของกลุ่มอุตสาหกรรมยังคงดำเนินการปกติอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีความต้องการใช้น้ำจากลูกค้ารายใหม่เริ่มทยอยเปิดดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ไตรมาส 4/63 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ บริษัทยังพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value added product) ได้แก่ น้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) น้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) และการนำน้ำเสียมาบำบัดและใช้ใหม่ (Wastewater Reclamation) โดยโครงการ Reclamation Plant ขนาด 25,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ภายในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ตะวันออก ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการผลิตตั้งแต่เดือน ม.ค. 64 ที่ผ่านมา ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถนำน้ำที่ได้จากกระบวนการบำบัดดังกล่าวไปผลิตเป็น Demineralized Water และ Premium Clarified Water สำหรับจัดจำหน่ายให้กับลูกค้าแล้ว โครงการดังกล่าวยังเป็นต้นแบบของการนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างความยั่งยืนทั้งด้านการบริหารจัดการต้นทุนการจัดหาน้ำของบริษัท รวมถึงการลดการพึ่งพิงน้ำดิบจากแหล่งน้ำอื่นอีกด้วย ส่งผลให้ในไตรมาส 1/64 บริษัทสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value added product) จำนวน 1 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือเติบโต 203 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนผลการดำเนินงานของธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการคว้างานโครงการโซลาร์ใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มมากขึ้น โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/64 บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 61 เมกะวัตต์ และบริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็น 300 เมกะวัตต์ ภายในปี 66 จากปัจจุบันสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปแล้วกว่า 594 เมกะวัตต์ โดยในไตรมาสแรก บริษัทมีรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 122 ล้านบาท เติบโต 1,668% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ล่าสุดบริษัทก็อยู่ระหว่างการขออนุญาตเปิดใช้งานระบบซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (P2P Energy Trading Platform) ภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ควบคู่ไปกับการเตรียมติดตั้งเพื่อทดสอบระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) บนโรงกรองน้ำของบริษัท
ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าประเภท conventional ช่วงไตรมาส 1/64 บริษัทได้รับผลกระทบจากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนเป็นระยะเวลา 37 วันของโรงไฟฟ้า Gheco-One ตั้งแต่ช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. ที่ผ่านมา ทำให้โรงไฟฟ้าได้รับรายได้ค่าความพร้อมจ่ายจาก EGAT ลดลง ส่งผลให้บริษัทต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากการลงทุนในโรงไฟฟ้า Gheco-One ในไตรมาสที่ผ่านมานี้ อย่างไรก็ตาม ภายหลังการซ่อมบำรุงแล้วเสร็จและกลับมาดำเนินการตามปกติโรงไฟฟ้าจะได้รับรายได้ค่าความพร้อมจ่ายเพื่อชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปในช่วงการหยุดซ่อมบำรุงดังกล่าว ซึ่งจะทำให้ส่วนแบ่งกำไรจาก โรงไฟฟ้า Gheco-One ในช่วงที่เหลือของปีฟื้นตัวดีขึ้น
ในขณะที่โรงไฟฟ้าอื่นๆ อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 8 แห่ง และโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม ชลบุรี คลีน เอ็นเนอร์ยี่ (CCE) ยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยส่วนแบ่งกำไรปกติจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP และโรงไฟฟ้า CCE ในไตรมาสนี้เติบโต 35% และ 8% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตทางธุรกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมโซลูชั่น ทั้งด้านพลังงานทดแทนและสาธารณูปโภครูปแบบใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแสวงหาโอกาสในการลงทุนเข้าซื้อกิจการ (M&A) ต่างๆ ในการเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านธุรกิจสาธารณูปโภคและธุรกิจพลังงานของภูมิภาค