นายวิโรจน์ เจริญตรา กรรมการผู้จัดการ บมจ.พรีบิลท์ (PREB) เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 1/64 บริษัทมีกำไรสุทธิ 57.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.02 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 40.64 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 42% และมีมีรายได้ 1,076.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83.05 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.36 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน
รายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการที่บริษัทรับรู้รายได้จากยอดโอน โครงการ "พรรณนา" บ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ ย่านพุทธมณฑลสาย 4 ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทลงทุนเอง เป็นโครงการแรก ซึ่งได้การตอบรับอย่างดีเกินความคาดหมาย ด้วยโครงการที่มีทำเลที่ตั้ง ขนาดพื้นที่ คุณภาพวัสดุก่อสร้างและการออกแบบ สามารถขายเฟส 1 ได้เกือบหมดแล้ว และขณะนี้ได้เตรียมขึ้น เฟส 2 ตลอดทั้งปีนี้จะรับรู้ยอดโอนของโครงการ "พรรณนา" ได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าทั้งปีนี้จะสามารถสร้างรายได้ จากโครงการพรรณนาเพิ่มขึ้นอีก 600 กว่าล้านบาท
รวมทั้งเตรียมเปิดโครงการใหม่ "พิมนารา" ย่านถนนศรีนครินทร์หนามแดง ซึ่งเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทลงทุนเองทั้งหมดเช่นกัน ซึ่งคาดว่าทั้งสองโครงการจะสร้างรายได้โดยรวม 700 ล้านบาท
นอกจากนี้รายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น ยังมาจากงานรับเหมาก่อสร้างที่เป็นรายได้หลักกลับมาก่อสร้างและส่งมอบงานได้มากขึ้นตั้งแต่ต้นปี โดยมั่นใจว่าตลอดทั้งปี 64 จะส่งมอบงานก่อสร้างได้มากกว่าปี 63 เนื่องจากปริมาณงานที่ถูกชะลอการขึ้นโครงการในปีที่ผ่านมา โดยบริษัทจะยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้ ที่ระดับใกล้เคียงกับปี 63 หรืออาจจะมากกว่า หากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวดีขึ้นในปีนี้ ทั้งนี้บริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่รอทยอยรับรู้รายได้รวมมูลค่ากว่า 7,300 ล้านบาท โดยจะเป็นการรับรู้รายได้มากกว่า 53% ในปีนี้ และที่เหลือกว่า 42% รับรู้รายได้ในปี 65
ในส่วนของงานผลิตและจำหน่ายแผ่นพื้นสำเร็จรูป คาดว่าผลการดำเนินงานโดยรวมในปี 64 จะดีกว่าปี 63 เช่นกัน เนื่องจากโรงงานมีการปรับฐานการผลิต และเปลี่ยนแปลงการรับลูกค้าจากเดิม โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าแนวราบที่มีศักยภาพด้านการขายเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในระดับเดิมซึ่งเป็นระดับที่สูงได้
"จากผลงานไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมั่นใจว่าตลอดทั้งปีนี้ในทุกหน่วยธุรกิจจะยังคงเดินหน้าขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และภาพรวมเศรษฐกิจทั้งประเทศ โดยบริษัทจะมุ่งมั่นบริหารจัดการธุรกิจและต้นทุนค่าใช้จ่าย ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งรักษากระแสเงินสดในมือให้มีความพอเพียงในการรับมือกับทุกสถานการณ์ รวมทั้งมีความรอบคอบและระมัดระวังในการลงทุน"นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า นอกจาก 3 ส่วนธุรกิจข้างต้นแล้ว ในปีนี้บริษัทยังมี Backlog ที่จะเปลี่ยนเป็นรายได้ จากการร่วมลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์กับพันธมิตร ในโครงการ Quinto และโครงการ Eigen โดยทั้ง 2 โครงการ คาดว่าจะมียอดโอนรวมกันภายในปี 64 ประมาณ 952 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะรับรู้ผลกำไรตามสัดส่วนการลงทุนที่ 49% และ 35% ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีโครงการร่วมทุนที่"จตุโชติ" ซึ่งคาดว่าจะสามารถพัฒนาและพร้อมโอนได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ อีกส่วนหนึ่งประมาณ 123 ล้านบาท ทำให้คาดว่าผลกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมทุนในปี 64 จะเพิ่มขึ้นจากปี 63 ที่มีการรับรู้รายได้เพียง 513 ล้านบาท