นายชวลิต ถนอมถิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง (RT) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/64 จะเติบโตดีขึ้นตามแผนที่วางไว้ โดยเตรียมเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น งานอุโมงค์รถไฟทางคู่เด่นชัย เชียงราย เชียงของ, งาน Pipe Jacking ที่อยู่ระหว่างรอผลประกวดราคา, งานอุโมงค์ประปา รวมทั้งงานที่เหลืออื่นๆ มูลค่ารวมกว่า 7,000 ล้านบาท
บริษัทยังเชื่อว่าปีนี้ธุรกิจมีโอกาสเติบโตสูง ด้วยปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการลงทุนของภาครัฐตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจงานโครงสร้างพื้นฐานในหลายโครงการ อาทิ ระบบขนส่งทางราง งานถนน ระบบบริหารจัดการน้ำในประเทศ ซึ่งงานก่อสร้างเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานมีมูลค่างานสูงและเป็นงานที่มีการก่อสร้างต่อเนื่อง ต้องอาศัยความรู้ความสามารถจากบริษัทที่มีประสบการณ์และความชำนาญพิเศษ ซึ่งมีผู้รับเหมาจำนวนน้อยรายที่ดำเนินธุรกิจได้แบบ RT
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้ารายได้ปีนี้จะทำนิวไฮต่อเนื่อง เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% หรืออยู่ที่ 3,500 ล้านบาท และรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 15-20% จากการมุ่งเน้นกลยุทธ์เชิงรุกรับงานในประเทศและงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ โดยบริษัทฯ มีความพร้อมในการรับงานทั้งในด้านบุคลากรและเครื่องจักร-เครื่องมือที่สามารถรองรับงานได้ทันที
ณ สิ้นไตรมาส 1/64 บริษัทฯ มีมูลค่างานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 3,213 ล้านบาท ซึ่งสามารถทยอยรับรู้รายได้ในช่วงปี 64-66 และจะเดินหน้าเข้าประมูลงานของทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะมีโอกาสรับงานใหม่อีก เพื่อเพิ่ม Backlog ให้สูงขึ้น โดยคาดว่าจะมี Backlog เพิ่ม 7,000 ล้านบาทในปีนี้
สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 1/64 บริษัทมีรายได้รวม 736 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 742 ล้านบาท จำนวน 6 ล้านบาท ลดลง 0.9% และมีกำไรสุทธิ 37 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 57 ล้านบาท จำนวน 20 ล้านบาท หรือลดลง 35% เนื่องจากงานก่อสร้างถนน 1 โครงการมีต้นทุนสูงขึ้นจากต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างและผู้รับเหมาช่วง โดยคาดว่าจะส่งมอบโครงการดังกล่าวในเดือนพ.ค.64
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้แบ่งตามประเภทงาน ประกอบด้วย งานก่อสร้างอุโมงค์และโครงสร้างใต้ดิน 55% งานสร้างเขื่อนและระบบชลประทาน 18% งานสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ 1% งานท่อร้อยสายไฟใต้ดิน 14% และงานอื่น ๆ 12% อาทิ งานเจาะสำรวจ งานปรับปรุงฐานราก งาน Slope Protection งานถนน เป็นต้น และแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้ในประเทศ 94.2% และต่างประเทศ 5.8%