นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าของแผนเปิดแนวราบในปีนี้ 8 โครงการ มูลค่ารวม 9 พันล้านบาทนั้น ในช่วงไตรมาส 2/64 บริษัทเตรียมเปิดจอง 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 1.14 พันล้านบาท ได้แก่ โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์ เพชรเกษม-ปิ่นเกล้า บ้านหรูบนที่ดินขนาดใหญ่ 100 ตารางวาขึ้นไป ราคาขายเริ่ม 20-30 ล้านบาท ใกล้เดอะมอลล์บางแค และโครงการเวิร์คเพลส สายไหม-พหลโยธิน พรีเมี่ยมโฮมออฟฟิศ เริ่ม 7-20 ล้านบาท ทำเลใกล้ทางด่วนจตุโชติ และ ทางด่วนฉลองรัช
นอกจากนี้บริษัทยังเร่งเพิ่มสต็อคบ้านรองรับความต้องการซื้อ โดยในไตรมาส 2/64 บริษัทจะมีโครงการที่เปิดขายทั้งหมด จำนวน 57 โครงการ มูลค่าคงเหลือเพื่อขายรวมกว่า 4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 47 โครงการ และคอนโดมิเนียม 10 โครงการ
"ถึงแม้ว่าสถานการณ์โควิดจะมีความท้าทายอย่างมาก เรามั่นใจว่าจะทำสำเร็จตามเป้าหมาย ทั้งยอดขายและรายได้ของปีนี้ พร้อมกับการเป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับ 1 ในใจผู้บริโภค"นายณัฐพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ ความสำเร็จของผลดำเนินงานไตรมาส 1/64 มาจากการขายโครงการบ้านเดี่ยวเติบโตทุกราคา ส่งผลให้บริษัทเติบโตทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรสุทธิ เป็นไปตามเป้าหมายของการประกาศแผนธุรกิจและการรุกสู่แบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับ 1 จากช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยที่บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดบ้านเดี่ยวสูงสุด (market share) เป็นอันดับ 1 ที่ 15% (จากข้อมูลตลาดบ้านเดี่ยวในกรุงเทพ-ปริมณฑลของ AREA หรือบริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด)
ในช่วงไตรมาส 1/64 บริษัททำยอดขายรวมได้ 5.7 พันล้านบาท เติบโต 188% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัของปีก่อน ซึ่งยอดขายโครงการแนวราบสามารถทำได้ 4.6 พันล้านบาท เติบโต 123% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยอดขายคอนโดมิเนียมทำได้ 1.09 พันล้านบาท เติบโต 1,381% เมื่อเทียลกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมยังชะลอตัว แต่การขายโครงการระดับ Luxury segment ราคามากกว่า 300,000 บาท/ตารางเมตร ของบริษัทยังมี market share อยู่ 26% และเป็นอันดับ 1 ของตลาด อีกทั้งบริษัทยังได้เปิดโครงการคอนโดเปิดใหม่ สโคป พร้อมศรี บนทำเลสุขุมวิท 49 ในช่วงไตรมาส 1/64 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี และมียอดจองแล้ว 45%
ด้านรายได้รวมในช่วงไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 3.96 พันล้านบาท เติบโต 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสัดส่วนรายได้มาจาก รายได้จากการขาย 95% และรายได้จากการเช่าและบริการ 5 % พร้อมทำกำไรสุทธิ 417 ล้านบาท เติบโต 39% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งยังมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน (D/E) อยู่ที่ 1.35 เท่า และมีสภาพคล่องแข็งแกร่งปัจจุบันมีเงินสดพร้อมวงเงินพร้อมเบิกมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท