หุ้น CPALL ราคาไหลลง 4.53% มาอยู่ที่ 58.00 บาท ลดลง 2.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 6,140.69 ล้านบาท เมื่อเวลา 16.27 น. โดยเปิดตลาดที่ 59.00 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 59.00 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 57.50 บาท
บล.คิงส์ฟอร์ด ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) รายงานผลประกอบการสำหรับงวดไตรมาส 1/64 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,599 ล้านบาท (-53.96% YoY, -27.25% QoQ) ต่ำกว่าที่ตลาดคาดราว -34% โดยรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 128,549 ล้านบาท (-8.81% YoY, -2.48% QoQ) โดยถูกกดดันจาก ยอดขาย 7-11 (ก่อนการตัดรายการ) ที่อยู่ที่ 70,450 ล้านบาท (-14.97% YoY, -3.74% QoQ) หดตัว YoY มากกว่าในไตรมาสที่ 4/63 และ 3/63 ที่หดตัวราว -14%YoY และ -11%YoY ตามลำดับ(อนึ่ง ไตรมาส 2/63 ที่มีการล็อกดาวน์และการห้ามขายแอลกอฮอล์ยอดขายหดตัวราว -17%YoY ) ด้านยอดขาย Cash&Carry(Makro) งวดไตรมาส 1/64 ทรงตัวอยู่ที่ 55,878 ล้านบาท (-0.48% YoY, -1.62% QoQ) โดยในส่วนของยอดขาย CPALL ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีการระบาดรอบใหม่ปลายเดือนธ.ค.
ในส่วนของ Gross Profit Margin ช่วงไตรมาส 1/64 ปรับตัวลดลงเหลือ 21.22% (ลดลงจากไตรมาส 4/63 ที่ 21.86% และไตรมาส 1/63 ที่ 22.12%) หลัก ๆ มาจากสัดส่วนยอดขาย Marko ที่เพิ่มขึ้น และ Product Mix ขณะที่รายได้จาก Equity Income (ถือส่วนแบ่งใน Tesco Lotus) ออกมาต่ำกว่าคาดที่ 36 ล้านบาท ส่วนหนึ่งจากค่าใช้จ่ายเรื่องการ Rebrand และจากฝั่ง Operation ของ Lotus ที่โดนโควิด-19 กดดัน ทำให้ปัจจัยบวกในเรื่อง Lotus ไม่สามารถชดเชยภาระหนี้ที่ผลักดัน Finance Cost เพิ่มขึ้นเป็น 2,901 ล้านบาท (จาก 1,881 ล้านบาท ในไตรมาส 1/63)
ทั้งนี้ การฟื้นตัวเป็นไปช้ากว่าคาด การฟื้นตัวในไตรมาส 2/64 อาจยังไม่เห็นชัดเจน เนื่องจากมีภาระค่าใช้จ่าย Finance Cost ที่เพิ่มขึ้น YoY และโควิด-19 ระลอก 3 ขณะที่ช่วงเวลาที่เหลือของทั้งปียังจะถูกกดดันจากปัจจัยทั้ง 2 ปัจจัยดังกล่าว คือ โควิด-19 และ ภาระหนี้ที่เกิดจากดีล Tesco Lotus
อย่างไรก็ตาม ยังคงมุมมองที่เป็นบวกต่อ CPALL ในระยะยาว จากการได้รับสิทธิแฟรนไชส์เปิดร้าน 7-11 ในกัมพูชาและลาว เช่นเดียวกับการลงทุนใน Tesco ปัจจุบัน ประเมินราคาเป้าหมายปี 64 อยู่ที่ 76.00 บาท และประมาณการกำไรสุทธิปี 64 และ 65 ที่ 18,308 ล้านบาท (+13.70%YoY) และ 21,553 ล้านบาท (+17.73%YoY) ตามลำดับ