(เพิ่มเติม) ฟิทช์ให้เครดิตพินิจ TMB เครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวที่ BB+

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday October 26, 2007 17:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศเครดิตพินิจภายใต้การพิจารณา (Rating Watch Evolving) แก่อันดับเครดิตของธนาคารทหารไทย(TMB)ว่า อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (IDR) ที่ ‘BB+’ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นที่ ‘B’ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ ‘BB’ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของ Hybrid Tier 1 Securities ที่ ‘B’ 
อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินที่ ‘D’ อันดับเครดิตสนับสนุนที่ ‘3’ อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ (Support Rating Floor) ที่ BB อันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ระยะยาวที่ระดับ ‘A (tha)’ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1 (tha)’ อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ ‘A-(tha)’ ( A ลบ (tha))
การประกาศเครดิตพินิจภายใต้การพิจารณาในครั้งนี้เป็นผลมาจากที่คณะกรรมการบริหารของ TMB ได้ประกาศแผนเพิ่มทุนมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาทเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยการเพิ่มทุนคาดว่าจะมาจากการที่ธนาคารมีผู้ถือหุ้นรายใหม่โดยมีความเป็นไปได้ที่ ING Bank NV (‘AA’ / ‘F1+’) อาจเป็นหนึ่งในผู้ลงทุน
การเพิ่มทุนในครั้งนี้คาดว่าจะได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการคลังและจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ คาดว่าจะช่วยคงสถานะของ TMB และอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของ Hybrid Tier 1 Securities ของธนาคารซึ่งได้ถูกปรับลดอันดับลงเมื่อเดือนมกราคม 2550
นอกจากนี้ การเพิ่มทุนยังมีผลทางด้านบวกสำหรับภาพรวมของอันดับเครดิตของธนาคารในระยะยาว การเพิ่มทุนเป็นจำนวนมากและการคาดการณ์ว่า TMB จะมีผลประกอบการเป็นบวกในปี 2551 คาดว่าจะส่งผลให้ TMB สามารถจ่ายดอกเบี้ยสำหรับ Hybrid Tier 1 Securities ได้ ในทางกลับกันหาก TMB ยังมีผลประกอบการขาดทุนเกิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมากและหากมีการล่าช้าของแผนการเพิ่มทุน อาจมีความเป็นไปได้ที่จะมีการลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของ Hybrid Tier 1 Securities และอันดับเครดิตอื่นๆของธนาคารได้
มีความเป็นไปได้ที่ผู้ถือหุ้นใหม่จะเข้ามาถือหุ้นของ TMB ที่ 30% ในเบื้องต้น การเพิ่มทุนนี้ยังคงต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นของธนาคารและหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง มีการคาดการณ์ว่า DBS of Singapore อาจไม่ร่วมลงทุนเพิ่มในการเพิ่มทุนครั้งนี้ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนหุ้นที่ DBS ถืออยู่ลดลงเหลือประมาณ 6% ในขณะที่กระทรวงการคลังจะมีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ประมาณ 26%
การเพิ่มทุนใหม่จำนวน 3.5 หมื่นล้านบาทน่าจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเงินกองทุนของธนาคารได้เป็นอย่างมากถึงแม้ว่าอาจจะมีผลกระทบบางส่วนจากการกันสำรองเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามการปรับเปลี่ยนอันดับเครดิตในอนาคตขึ้นอยู่กับการพิจารณาว่าการเพิ่มทุนและการที่ TMB มีผู้ถือหุ้นรายใหม่ จะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจ ผลกำไร กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารอย่างไร รวมทั้งจะสามารถช่วยลดทอนความเสี่ยงในด้านความสามารถในการทำกำไร และคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารได้มากน้อยเพียงใด
TMB รายงานผลขาดทุนสุทธิ 2.07 หมื่นล้านบาท สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2550 เนื่องจากมีการตั้งขาดทุนจากการด้อยค่าค่าความนิยมสืบเนื่องมาจากการรับโอนกิจการของธนาคาร ดีบีเอสไทยทนุ จำกัด (มหาชน) (DTDB) และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IFCT) เป็นจำนวน 1.26 หมื่นล้านบาทรวมถึงการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 1.35 หมื่นล้านบาทเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทยในการเตรียมตัวเพื่อปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศฉบับที่ 39 (IAS 39)
คุณภาพของสินทรัพย์ของ TMB ยังคงอ่อนแอโดยที่ระดับของสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) สูงขึ้นอยู่ที่ 6.44 หมื่นล้านบาทหรือ 13% ของยอดสินเชื่อรวม ณ สิ้นเดือนกันยายน 2550 จาก 5.61 หมื่นล้านบาทหรือ 10% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2549 อัตราส่วนของการกันสำรองหนี้สูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 50% ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่อาจต้องกันสำรองเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมากในอนาคต เป็นที่น่าสังเกตว่าสินเชื่อคุณภาพดีของธนาคารได้มีการลดลงประมาณ 13% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ถึงแม้ว่าทางผู้บริหารระบุว่าการลดลงของสินเชื่อคุณภาพดีนี้มีผลมาจากการลดลงของสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนแก่ธนาคารต่ำหรือกลุ่มสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง ระดับขาดทุนสะสมของธนาคาร ณ สิ้นเดือนกันยายน 2550 สูงขึ้นมาที่ 8 หมื่นล้านบาทจาก 6 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2549 ในขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนรวมและเงินกองทุนขั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถ่วงน้ำหนัก ณ สิ้นเดือนกันยายน 2550 อยู่ที่ระดับ 10.72% และ 6.97% ตามลำดับ
TMB เป็นธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของประเทศไทย โดยมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 6.528 แสนล้านบาท และมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 10%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ