บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ไตรมาส 164 บริษัทมีกำไรสุทธิ 6,945 ล้านบาท เติบโต 14% จากปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากการให้ความสำคัญด้านประสิทธิภาพการผลิต การตลาด และกระบวนการทำงาน รวมทั้ง การขยายกำลังการผลิต ประกอบกับการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร CPF กล่าวถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นนี้ว่า ผลจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระยะเวลาปีกว่าที่ผ่านมา ที่ส่งผลให้กำลังซื้อทั่วโลกลดลง บริษัทได้เพิ่มมาตรการป้องกันทั้งกระบวนการผลิตและกระบวนการทำงานให้มีความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทำให้ผลกระทบจากการแพร่ระบาดมีต่อธุรกิจของบริษัทไม่มากนัก
แต่จากการปรับกลยุทธ์โดยให้ความสำคัญเรื่องประสิทธิภาพด้านการบริหารต้นทุนการผลิต การนำระบบงานดิจิตัล (Digitization) มาช่วยด้านประสิทธิภาพมากเพิ่มขึ้น รวมทั้งการเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า การปรับช่องทางการขายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึงการเพิ่มกำลังผลิตในสินค้าที่ลูกค้าต้องการมากขึ้น ทำให้ผลประกอบการของหลายประเทศเป็นที่น่าพอใจ โดยทั้งไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และ กัมพูชาเป็นประเทศที่มีผลประกอบการที่โดดเด่นในไตรมาสนี้ และคาดว่าน่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังมุ่งมั่นในการวิจัย พัฒนา สร้างสรรค์นวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อตอบโจทย์ตามความต้องการของผู้บริโภค ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางด้านการตลาด การขาย รวมถึงประเภทสินค้าอาหารสุขภาพที่เน้นด้านโภชนาการที่ดี และช่องทางจัดจำหน่ายให้สอดคล้องกับสภาวะของตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้ธุรกิจอาหารมีการเติบโตที่ดีในไตรมาสนี้เช่นกัน
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ซีพีเอฟสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างไม่เกิดภาวะหยุดชะงัก คือ การมีมาตรฐานการผลิตที่ดี บริษัทมีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 โดยยกระดับมาตรการความปลอดภัยขั้นสูงสุด โดยเพิ่มมาตรการเสริมควบคู่เพื่อป้องกันในทุกมิติ โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตและส่งมอบอาหาร คุณภาพ ความปลอดภัยถึงมือผู้บริโภค