นายสมชาย วงศ์รัศมี ประธานเจ้าหน้าที่สายบัญชีและการเงิน บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) กล่าวว่า แนวโน้มในไตรมาส 2/64 แม้จะเป็นช่วง Low season ของทุกปี แต่มั่นใจว่ายอดขายในปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้วอย่างแน่นอน เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในรอบนี้ไม่เข้มข้นเท่าช่วงปีก่อน และ มาตรการล็อกดาวน์ประเทศบางส่วนไม่ได้ส่งผลกระทบกับบริษัทมากนัก
ขณะที่ถานการณ์ราคาวัตถุดิบในปัจจุบันแม้จะเพิ่มสูงขึ้น แต่ทางบริษัทยังคงมีสต็อกวัตถุดิบเดิมอยู่พอสมควร ประกอบกับมีการเจรจากับลูกค้าเพื่อขอปรับเพิ่มราคาในไตรมาส 2/64 จะช่วยให้บริษัทยังคงรักษาอัตรากำไรไว้ได้
นายสมชาย กล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทได้เน้นขยายตลาดบรรจุภัณฑ์เกรดพรีเมียมไปยังลูกค้ากลุ่ม Food และกลุ่ม Medical ยกตัวอย่างเช่น บรรจุภัณฑ์ห่อสินค้า หรือ ซองเข็มฉีดยา เป็นต้น ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าภายในประเทศ เนื่องจากลูกค้ากลุ่ม Food ยังเป็นลูกค้าที่มีศักยภาพ และเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการบริโภคในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะทำให้ยอดขายสินค้าของบริษัทมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้จาก กลุ่มสินค้าอุปโภค (Non-Food) คิดเป็น 79% และ รายได้จากกลุ่มสินค้าบริโภค (Food) คิดเป็น 21% คาดว่าในปีนี้จะเพิ่มเป็น 23%
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/64 นายสมชาย กล่าวว่า ยอดขายทำสถิติสูงสุดที่ 420 ล้านบาท เติบโตขึ้น 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มียอดขาย 341.6 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 38 ล้านบาท โตขึ้น 10.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 34.8 ล้านบาท เป็นผลมาจากการขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม Food และ Medical ซึ่งเป็นลูกค้าใหม่ 10-20 ราย รวมถึงมีการเปิดรายการขายใหม่กับลูกค้าเดิมเพิ่มเติม คาดว่าจะมีออเดอร์เข้ามาอีกในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปีนี้
สำหรับความคืบหน้าโครงการสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่บางบ่อเพื่อเสริมกำลังการผลิต ปัจจุบันก่อสร้างคืบหน้าไปแล้ว 10% คาดว่าจะเปิดใช้บางส่วนได้ในไตรมาส 4/64 และพร้อมเดินเครื่องผลิตอย่างเต็มกำลังได้ในไตรมาส 1/65 ซึ่งจะเพียงพอต่อออเดอร์ที่มีเข้ามาอีกในอนาคต
ในส่วนของการลงทุนในประเทศเวียดนามนั้น ทางบริษัทต้องการที่จะซื้อโรงงานผลิตด้านบรรจุภัณฑ์ เนื่องจากในเวียดนามนั้น ราคาวัตถุดิบและต้นทุนด้านต่าง ๆ ถูกกว่าประเทศไทย โดยในปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจา แต่ยังไม่สามารถเดินทางไปดูสถานที่จริงได้ จึงต้องรอความชัดเจนภายหลังจากการเปิดประเทศไปแล้ว
และในเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา บริษัทได้ขายหุ้นให้กับบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ทั้งหมด 6% ซึ่งคาดว่าในอนาคตอาจจะมีดีลธุรกิจร่วมกัน ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการศึกษาและพูดคุยกันอยู่