นายธนา ไชยประสิทธิ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บมจ.โอสถสภา (OSP) เปิดเผยว่า แผนงานในไตรมาส 2/64 บริษัทยังมุ่งตอกย้ำใช้จุดแข็งด้านแบรนด์พอร์ตโฟลิโอมาช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่ เน้นการตลาดที่ตอบสนองพฤติกรรมการบริโภคในช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งรวมถึงการที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสุขภาพและอยู่บ้านมากขึ้น อาทิ การออกบรรจุภัณฑ์ขนาด 1 ลิตรของแบรนด์ซีวิท
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นสร้างความร่วมมือทางธุรกิจใหม่ เพื่อผลักดันการเติบโตและสร้างธุรกิจในอนาคต โดยจับมือกับพันธมิตรอย่างยันฮี วิตามิน วอเตอร์ เพื่อขยายตลาดเครื่องดื่มวิตามิน ตอบโจทย์กระแสการดูแลใส่ใจสุขภาพ และร่วมลงทุนพัฒนาเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของสมุนไพร รวมถึงสารสกัดจากกัญชา กัญชง (CBD)
และยังสร้างมิติใหม่ทางการตลาดด้วยการผนึกกำลังของผู้นำจากสองวงการแต่มีจุดเชื่อมโยงคือกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน โดยเอ็ม-150 และปูนตราเสือ ได้ร่วมกันออกแคมเปญ "ฮึดสู้อย่างเสือ หัวใจเกินร้อย" เจาะกลุ่มช่าง ผู้รับเหมา ด้วยเครื่องดื่ม เอ็ม-150 กระชายดำผสมน้ำผึ้ง X ปูนตราเสือ รุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น พร้อมของพรีเมียมที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษ รวมถึงการผูกแคมเปญเข้ากับแพลทฟอร์มแต้มเอ็ม การร่วมมือทางธุรกิจดังกล่าว เป็นการนำจุดแข็งของโอสถสภาและพันธมิตรมาสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน เพื่อตอบสนองความต้องการด้านใหม่แก่ผู้บริโภคและขยายไปสู่ตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต
สำหรับภาพรวมการดำเนินงานในไตรมาส 2/64 แม้ธุรกิจยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่ด้วยการบริหารธุรกิจที่ยืดหยุ่น สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันเหตุการณ์ รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนภายใต้โครงการ Fit Fast Firm ที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถรับมือกับปัจจัยลบที่เกิดขึ้นได้ดี ส่งผลให้กำไรสุทธิไตรมาส 1/64 ทำนิวไฮที่ 1,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
จากการสร้างความแข็งแกร่งของตราสินค้าในพอร์ตอย่างต่อเนื่อง พร้อมแผนการตลาดที่เน้นสร้างความผูกพันกับลูกค้า ทำให้สินค้าในกลุ่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาด ด้วยส่วนแบ่งตลาด 54.9% โดยมีแบรนด์เอ็ม-150 เป็นเบอร์ 1 ในตลาดรวม ในขณะที่แบรนด์โสมอินซัมซึ่งมีสินค้าใหม่ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรก็สามารถสร้างการเติบโตได้เป็นอย่างดี สำหรับเครื่องดื่มในกลุ่มฟังก์ชันนอลดริงก์นั้น แบรนด์ซีวิทยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดและการเติบโต จากการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น ผลักดันให้มีส่วนแบ่งการตลาด 34.9%
ในส่วนของตลาดต่างประเทศนั้น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มดีขึ้น ทำให้มีการขยายตัวอย่างโดดเด่น โดยเติบโต 11.6% สำหรับตลาดในประเทศเมียนมาร์นั้น หลังจากเปิดโรงงานผลิตเครื่องดื่มในเมียนมาร์ในปีที่ผ่านมา รวมถึงการมีพันธมิตรทางธุรกิจและทีมบริหารในเมียนมาร์ที่มีความเข้าใจตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้มีความยืดหยุ่น สามารถปรับการดำเนินงานและกลยุทธ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ สามารถตอบสนองความต้องการของตลาด จึงสามารถรักษายอดขายและการเติบโต แม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่ปกติทั้งการระบาดของโควิด-19 และด้านการเมือง
"ในไตรมาสแรกปีนี้ยังมีการระบาดของโควิด-19 แต่ด้วยศักยภาพการดำเนินธุรกิจของโอสถสภาที่มีแผนบริหารจัดการที่ชัดเจน ทั้งการนำจุดแข็งของแบรนด์พอร์ตโฟลิโอเข้าไปช่วยสร้างการเติบโตให้แก่ยอดขายกลุ่มเครื่องดื่ม เครือข่ายช่องทางการจำหน่ายที่แข็งแรง การปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการบริหารจัดการด้านต้นทุนการผลิตภายใต้โครงการ Fit Fast Firm ที่ดีต่อเนื่อง ทำให้เราประสบความสำเร็จในการผลักดันยอดขายและกำไรสุทธิด้วยตัวเลขนิวไฮ แม้มีปัจจัยลบในตลาดก็ตาม" นายธนา กล่าว