นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข กรรมการผู้จัดการ บมจ.สหมิตรถังแก๊ส (SMPC) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/64 คาดจะปรับตัวดีขึ้น จากสถานการณ์การส่งออกทางเรือดีขึ้น และแนวโน้มการอ่อนค่าของค่าเงินบาท ขณะเดียวกันบริษัทได้มีการขยายตลาดใหม่ๆ เพิ่ม ได้แก่ ในทวีปอเมริกาใต้ หลังจากที่ยอดขายในทวีปอเมริกาเหนือเติบโตแรง นอกจากนี้ยังมีประเทศในแถบแอฟริกาที่ยังมีโอกาสการเติบโตอีกมาก ขณะที่ตลาด CLMV ก็มียอดขายดีขึ้นเช่นเดียวกัน เชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนยอดขายในปีนี้ให้เติบโต 10-15% ได้ตามแผน
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้มีการขยายกำลังการผลิตถังแก๊สขนาดใหญ่ปริมาตรกว่า 500 ลิตรเพิ่มอีกวันละประมาณ 80 ใบ หรือราวเดือนละ 2,500 ใบ ซึ่งมีความต้องการใช้งานเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การขยายกำลังการผลิตดังกล่าวแล้วเสร็จ และพร้อมรองรับออเดอร์ใหม่ ส่วนถังแก๊สปกติกำลังการผลิตเดินเครื่องเต็มกำลังจากออเดอร์ที่เข้ามาต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังในช่วงเวลานี้คืออัตราค่าขนส่งและการขนส่งที่อาจจะติดขัดบ้าง ปัจจุบันภาครัฐได้เข้ามาช่วยหาแนวทางแก้ปัญหาให้ผู้ประกอบการส่งออก ทำให้การขนส่งคล่องตัวมากขึ้น ปัญหาการขาดแคลนตู้ลดน้อยลง ประกอบกับการปรับตัวและการบริหารจัดการที่ดีขึ้นของบริษัท ทำให้มั่นใจว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นในเร็ววันนี้
ส่วนสถานการณ์ราคาเหล็กในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลต่อบริษัทบางส่วน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนโยบายการเสนอราคาของบริษัทเป็นแบบ Cost plus และลูกค้าบางรายที่เป็นออเดอร์ระยะยาว จะมีเงื่อนไขให้บริษัทสามารถเจรจาปรับราคาได้หากมีการเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็กมาก ประกอบกับบริษัทยังคงมีสต๊อกเหล็กที่ราคาไม่สูงมากสำรองไว้จำนวนหนึ่ง จึงคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อมาร์จิ้นมากนัก ในทางกลับกัน แนวโน้มราคาเหล็กที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าบางรายตัดสินใจสั่งซื้อในปริมาณที่มากขึ้นและเร็วขึ้น เป็นผลให้ยอดขายเติบโตมากขึ้นด้วย
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ งวดไตรมาส 1/64 บริษัทฯ มียอดขายรวมอยู่ที่ 903.37 ล้านบาท โดยยอดขายลดลง 41.68 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.4% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 945.05 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 114.58 ล้านบาท ลดลง 31.74 ล้านบาท หรือคิดเป็น 21.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 146.32 ล้านบาท สาเหตุที่ยอดขายและกำไรลดลง
เนื่องจากปัญหาค่าระวางเรือที่ปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดไปทั่วทุกภูมิภาค ลูกค้าบางรายจึงขอเลื่อนกำหนดการรับของเพื่อรอดูสถานการณ์ ทำให้เกิดปัญหาการขนส่งสินค้าไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ตั้งแต่ปลายปี 63 ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ทำให้การบริหารจัดการด้านขนส่งเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 1/64 ในส่วนความต้องการของลูกค้ายังคงมีอย่างต่อเนื่องจากภูมิภาคหลัก โดยเฉพาะยอดขายในสหรัฐอเมริกายังคงเติบโตจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น และผลของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมิรกาและจีน ทำให้ไทยได้เปรียบจีน
"ในไตรมาส 1/64 กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 194.49 ล้านบาท ลดลง 15.67 ล้านบาท หรือลดลง 7.5% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 210.16 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อยจาก 22.2% เหลือ 21.5% เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 3.2% และบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นบริหารจัดการเพื่อผลักดันเป้าหมายในปีนี้ให้เป็นไปตามที่วางไว้" นายสุรศักดิ์ กล่าว