นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/64 จะเติบโตกว่าไตรมาส 1/64 เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (Spread) ในกลุ่มปิโตรเคมีและปิโตรเลียมปรับตัวดีขึ้น จากความต้องการที่ยังอยู่ในระดับสูง แต่กำไรจากสต็อกน้ำมัน (Stock Gain) อาจจะปรับลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันไม่ได้สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดเหมือนไตรมาส 1/64
ทั้งนี้ ทิศทางความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปีนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกยังจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศจีนและภูมิภาคอาเซียน แต่ช่วงครึ่งปีหลังอาจมีความท้าท้ายที่นอกเหนือจากตลาดประเทศจีน จากการแพ่รระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตามเชื่อว่ารัฐบาลหลายประเทศจะสามารถรักษาสมดุลในเรื่องต่างๆ และทำให้พื้นฐานเศรษฐกิจและความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังดำเนินต่อไปได้
นอกจากนั้น อาจต้องเจอความท้าทายของโรงกลั่นใหม่ๆ เช่น จากประเทศมาเลเซียและจีนในผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีบางตัว ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าปัญหาของการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์จะสามารถคลี่คลายลงตามลำดับ ทำให้มีการเคลื่อนย้ายตู้เปล่ากลับมาในภูมิภาคที่ใช้ในการผลิต หรือฐานการผลิตมากขึ้น เพื่อนำไปใช้งานต่อได้ ซึ่งในส่วนนี้อาจมีค่าใช้จ่ายในเรื่องต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้น
ส่วนทิศทางตลาดปิโตรเลียมในปีนี้ จากช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบันภาพรวมราคาน้ำมันดีกว่าแผนธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเชื่อว่าจากภาพรวมเศรษฐกิจ และพัฒนาการโควิด-19 ทั้งการป้องกันของประเทศต่างๆ และการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ดำเนินการไปได้ค่อนข้างดี ส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานฟื้นตัวดีขึ้น และน่าจะดีขึ้นกว่าแผนธุรกิจของบริษัทฯ
รวมถึงการควบคุมปริมาณการผลิตของโอเปกพลัส ซึ่งสองปัจจัยดังกล่าวคาดจะทำให้ราคาน้ำมันมีเสถียรภาพ และไม่น่าจะมีความผันผวนในช่วงที่เหลือของปีนี้ ขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมก็จะค่อยๆ ดีขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน เนื่องด้วยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของสหรัฐฯ สามารถควบคุมได้แล้ว และอยู่ในช่วงฤดูร้อน ทำให้มีการใช้มากขึ้น และน่าจะมากกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ด้วย ส่วน Spread น้ำมันดีเซลก็ดีขึ้น
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของ IRPC ในปีนี้ นายชวลิต กล่าวว่า ยังคงมุ่งเน้นการสร้าง และพัฒนานวัตกรรมวัสดุและพลังงานแห่งอนาคต เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคทุกรูปแบบในอนาคต ด้วยการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะขับเคลื่อนให้ IRPC เติบโตอย่างยั่งยืน
IRPC วางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ (specialty) สูงถึง 30% ภายในปี 67 ด้วยกลยุทธ์ใกล้ชิดเข้าถึงผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น (Human centric) มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตสูง เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และบรรจุภัณฑ์ รวมถึงการจับมือกับพันธมิตร เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ
ที่ผ่านมา IRPC ได้ร่วมทุนกับ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด บริษัทย่อยที่ บมจ.ปตท. ถือหุ้น 100% จัดตั้ง บริษัท อินโนโพลีเมด จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยบริษัทเล็งเห็นโอกาสในการสร้างนวัตกรรมเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษไปสู่ Smart Material ที่ตอบสนองผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มความมั่นคงและแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศ ตามนโยบาย Thailand 4.0 สู่การเป็น Medical Hub
พร้อมกันนี้ยังมีการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าไม่ถักไม่ทอ (Non-woven Fabric) ที่ขึ้นรูปด้วยวิธี Melt Blown มีลักษณะเส้นใยขนาดเล็กและละเอียดในระดับนาโนเมตรถึงไมโครเมตร มีคุณสมบัติในการกรองที่มีประสิทธิภาพสูง ผลิตจากเม็ดพลาสติกโพลีโพรพิลีนชนิดพิเศษ (PP melt blown grade) ที่ IRPC ได้วิจัยและพัฒนาเป็นบริษัทแรกของประเทศไทย คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ไตรมาส 4/64
บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อสร้างผลิตภัณท์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ให้ครอบคลุมและหลากหลายมากขึ้น เช่น ถุงอาหาร ถุงเลือด และถุงล้างไตสำหรับผู้ป่วย ที่ผลิตจากเม็ด PP และผลิตภัณท์ NBL หรือ Nitrile Butadiene Latex ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับการผลิตถุงมือแพทย์ ร่วมกับองค์กร ทั้งเอกชน และภาครัฐ สอดรับกับเศรษฐกิจเชิงสุขภาพ ที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ IRPC ก็อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาวัสดุที่เป็นส่วนประกอบของแบตเตอรี่ที่เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนารถยนต์ EV เช่น Battery Separator และ Li-Ion Electrode อีกทั้งบริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท เจแปน โพลิโพรพิลีน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (JPP) ถือหุ้นในสัดส่วน 50% ของบริษัท ไมเท็กซ์ โพลิเมอร์ (ประเทศไทย) จำกัด รุกตลาดเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษพีพีคอมพาวด์ (Polypropylene Compound: PP Compound) ให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งขณะนี้เริ่มดำเนินการผลิต และอยู่ในระหว่างการทดสอบผลิตภัณฑ์ เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ EV เป็นปัจจัยบวกสำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เพราะมีทิศทางความต้องการใช้พลาสติก เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตของรถยนต์ EV ในสัดส่วนต่อคันที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 50%