นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเชียพลัส (ASP) กล่าวว่า การไหลเข้าของเม็ดเงินยังมีต่อเนื่องจากผลกระทบของปัญหาซับไพร์มในประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯอยู่ในช่วงขาลง หรืออ่อนค่าลง ขณะที่ยุโรปก็มีอัตราเติบโตของเศรษฐกิจไม่มาก หรืออยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้มีการโยกย้ายมาลงทุนในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งตลาดหุ้นไทย จากปัจจัยดังกล่าว และมองว่าค่าเงินในเอเชียจะแข็งค่าขึ้น และจะทำให้มูลค่าสินทรัพย์ของภูมิภาคเอเชียปรับสูงขึ้นด้วย
นายก้องเกียรติ กล่าวต่อว่า หากพิจารณาถึงเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชีย พบว่า กว่า 2 หมื่นล้านเหรียญฯเป็นการเข้ามาลงทุนในประเทศอินเดียและฮ่องกง ในขณะที่ประเทศไทยก็มีเม็ดเงินไหลเข้ามาเช่นกัน กว่า 1 แสนล้านบาท
สำหรับปัจจัยดังกล่าวทำให้มองว่าค่าเงินเอเชีย รวมถึงค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น โดยประเมินว่าใน 3-4 ปีข้างหน้ามีโอกาสที่ค่าเงินบาทจะแข็งค่าไปถึงระดับ 25 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งผู้ประกอบการและประชาชนจะต้องระวังการแข็งค่าของเงินบาท
แต่อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของค่าเงินก็เป็นประโยชน์ ทำให้เงินเฟ้อของประเทศไม่ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงสิ้นปีนี้มองว่า มีโอกาสจะได้เห็นการปรับตัวขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยไปที่ระดับ 1 พันจุด หลังจากสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย โดยเฉพาะการเมือง และการเข้ามาของเม็ดเงิน
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า จากปัจจัยดังกล่าวน่าจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทปีนี้ปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,656.10 ล้านบาท เป็นผลมาจากบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากค่านายหน้ากว่า 60% รวมทั้งการที่บริษัทกระจายการลงทุนจากพอร์ตลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้บริษัทมีรายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น และการปรับตัวขึ้นของรายได้ดังกล่าวเชื่อว่าจะทำมาร์เก็ตแชร์เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ในสิ้นปีนี้ที่ระดับ 6%
"การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีเป็นเรื่องที่ดีและทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็นที่สนใจแต่ยังกังวลว่ากลุ่มที่ปรับสูงขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นพลังงานเพียงกลุ่มเดียว ซึ่งโดยส่วนตัวอยากจะเห็นนักลงทุนกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังหุ้นกลุ่มอื่นๆปรับตัวขึ้นบ้าง เพราะหากราคาน้ำมันยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะต้องมีการปรับตัวลงมา"นายก้องเกียรติ กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/นิศารัตน์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--