นางสาววรมน อิงคตานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ และ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) เปิดเผยว่า บริษัทยอมรับว่าขณะนี้ยังประเมินทิศทางผลประกอบการในปีนี้ได้ยาก เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆ ยังมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก การกระจายการฉีดวัคซีน และการผ่อนคลายมาตรการต่างๆของภาครัฐ ขณะที่บริษัทได้ชะลอขึ้นโรงแรมใหม่จนกว่าสถานการณ์ต่าง ๆ จะปรับตัวดีขึ้น
อนึ่ง ERW แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1/64 ขาดทุนสุทธิ 491.94 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.1954 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 102.5 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.0407 บาท
นางสาววรมน กล่าวว่า บริษัทยังคงต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างใกล้ชิด รวมไปถึงการกระจายการฉีดวัคซีนของประเทศไทย และประเทศอื่นๆที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังประเทศไทย ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะหนุนให้มีการเดินทางระหว่างประเทศเกิดขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ที่มีกลุ่มลูกค้าหลักจากต่างประเทศ
ในปีนี้คาดว่าผลการดำเนินงานจะได้รับปัจจัยหนุนจากการเดินทางท่องเที่ยวของประชาชนในประเทศเป็นหลัก โดยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกที่สามนี้จะมีผลกระทบหลักในจังหวัดท่องเที่ยว อาทิเช่น จังหวัดชลบุรี เมืองพัทยา และจังหวัดภูเก็ต เป็นต้น เนื่องจากยังมีความกังวลในการเดินทางท่องเที่ยวอยู่
ในส่วนของโรงแรมที่มีราคาประหยัด (Budget Hotel) คือโรงแรม Hop INN ปัจจุบันยังคงมีอัตราการเข้าพัก (OCC) อยู่ที่ราว 20% เนื่องจากยังมีความต้องการในการเดินทางอยู่
ทั้งนี้จากสถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในปี 63 และภาครัฐบาลได้มีการสั่งปิดเมือง (Lockdown) ทั้งประเทศ เมื่อสถานการณ์ต่างๆคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น และภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการต่างๆลงใช้ระยะเวลาราว 2 เดือน ที่จะกลับสู่ภาวะที่ดีขึ้น ในการระบาดระลอกสามนี้บริษัทก็คาดหากภาครัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆ สถานการณ์ก็จะเข้าสู่ภาวะปกติภายใน 2 เดือนเช่นกัน
"ปัจจุบันยังคงประเมินสถานการณ์ต่างๆได้ยากเพราะปัจจัยต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยในปีนี้บริษัทยังคงดำเนินนโยบายในการบริหารจัดการต้นทุน และการมีเงินทุนเพียงพอในช่วงสถานการณ์ไม่ปกติในปัจจุบัน"นางสาววรมน กล่าว
นางสาววรมน กล่าวถึงแผนการพัฒนาโรงแรมว่า บริษัทยังคงเน้นการพัฒนาในกลุ่ม Budget Hotel เป็นหลัก ทั้งในประเทศไทย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอื่นๆในเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากโรงแรมในกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันยังมีการฟื้นตัวที่เร็วที่สุดด้วย
ปัจจุบันบริษัทมีโรงแรม 2 แห่งที่อยูระหว่างก่อสร้างด้วยงบลงทุนราว 700 ล้านบาทในประเทศฟิลิปปินส์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในช่วงต้นปี 65 ในขณะเดียวกันบริษัทยังมีที่ดินในประเทศฟิลิปปินส์อีก 3 แห่ง และที่ดินในประเทศไทยอีก 7 แห่ง หากสถานการณ์ต่างๆปรับตัวดีขึ้นก็จะเริ่มกลับมาพัฒนาโรงแรมเพิ่มเติมอีกครั้ง